Neville Goddard คือใคร และคำสอนของเขาจะพลิกชีวิตชีวิตคุณอย่างไร

หากคุณสนใจในเรื่องการดึงดูดสิ่งที่ต้องการเข้าหาตัวเอง หรือการสร้างสิ่งที่ต้องการให้เป็นจริง หรือแนวคิดที่คล้ายคลึงกัน คุณอาจจะเคยได้ยินชื่อของเนวิลล์ ก็อดดาร์ด (Neville Goddard) มาบ้างแล้ว จากบทความในอินเตอร์เน็ต ยูทูป หรือเนื้อหาในหนังสือเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกที่มีคนอ้างอิงถึง

Neville Goddard ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำทางจิตวิญญาณและครูด้านการศึกษากฏแห่งการดึงดูด และการสร้างความฝันให้เป็นจริงผ่านการจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของโลกคนหนึ่งเลยทีเดียว

คำสอนและแนวคิดของเขามีอิทธิพลต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก และจนถึงทุกวันนี้ ผู้คนทั่วโลกยังคงประสบความสำเร็จในการใช้แนวทางของเขาเพื่อสร้างฝันให้เป็นจริง สร้างชีวิตที่ดีเลิศสำหรับตัวเอง

แล้วแท้จริงแล้ว เนวิลล์ ก็อดดาร์ด คือใคร? และเขาได้แนวคิดที่นำมาเผยแพร่สู่โลก จนสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้คนมากมายให้ดีขึ้นได้อย่างไร? เนื้อหาของ sedtee.com เรากจะเจาะลึกเรื่องราวของเนวิลล์ ก็อดดาร์ด และมุมมองของเขาเกี่ยวกับการดึงดูดสิ่งต่าง ๆ เข้ามาในชีวิต

ความเป็นมาของ Neville Goddard

เนวิลล์ ก็อดดาร์ด เกิดในปี 1905 ที่ประเทศบาร์เบโดส (Barbados) ซึ่งอยู่แถบเกาะคาริเบียน เขาอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 1922 โดยเริ่มต้นอาชีพเป็นนักบัลเล่ต์ในนิวยอร์ก

แต่หลังจากย้ายมาอเมริกาไม่นาน เนวิลล์เริ่มพัฒนาความสนใจในด้านจิตวิญญาณ แนวคิดยุคใหม่ (New Age) และคำสอนที่ลึกลับ (Esoteric) ความหลงใหลในคำสอนแนวนี้ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเขาได้พบกับอับดุลลาห์ (Abdullah) ซึ่งเป็นชาวยิวเชื้อสายเอธิโอเปีย

หลังจากรู้จักกันอับดุลลาห์สอนการตีความพระคัมภีร์ในเชิงลึกลับ และแนวคิดของเขาทำให้ให้เนวิลล์มีความอยากรู้อยากสำรวจแนวคิดเชิงอภิปรัชญามากขึ้น

Abdullah (ซ้าย) Neville (ขวา)

เนวิลล์ รู้สึกสนใจในคำสอนของอับดุลลาห์ จึงกลายเป็นศิษย์ของเขาเป็นเวลาห้าปี เจาะลึกเข้าไปในโลกของการตีความพระคัมภีร์แบบลึกลับ ผ่านการเป็นลูกศิษย์ของอับดุลลาห์ เนวิลล์เข้าใจแนวคิดที่ว่าพระคัมภีร์เป็นละครเชิงจิตวิทยา มากกว่าที่จะเป็นเพียงบันทึกทางประวัติศาสตร์

ตามที่เนวิลล์เล่าว่า “ถ้าผมต้องตั้งชื่อบุคคลที่ผมถือเป็นครูของผม ผมจะตั้งชื่ออับดุลลาห์ ผมได้ศึกษาอยู่กับเขาเป็นเวลาห้าปี”

อับดุลลาห์ยังเป็นผู้สอนโจเซฟ เมอร์ฟี (Joseph Murphy) ซึ่งเป็นอีกชื่อดังในแวดวงการศึกษาจิตใต้สำนึก และการดึงดูดสิ่งที่ต้องการในปัจจุบัน และเป็นผู้เขียนหนังสือ The Power of Your Subconscious Mind ที่โด่งดัง

กลับมาที่เรื่องราวของ เนวิลล์ ต่อ หลังจากการผ่านการเรียนรู้จากอับดุลลาห์มาระดับหนึ่ง เนวิลล์ได้เข้าใจถึงพลังของจิตใต้สำนึกและอิทธิพลของมันในการสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต

อับดุลลาห์สอนเนวิลล์ว่าไม่มีพลังใดที่จะมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของเขานอกจินตนาการของเขาเอง

เนวิลล์กล่าวถึงอับดุลลาห์ว่าไม่เพียงแต่สอนแนวคิดอันทรงพลังเหล่านี้เท่านั้น แต่เขายังเป็นตัวแทนของสิ่งเหล่านั้นอีกด้วย อับดุลลาห์เป็นชายผิวดำ ชาวยิวเชื้อสายเอธิโอเปียนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาที่การเหยียดเชื้อชาติยังคงรุนแรงในสังคม

แต่อับดุลลาห์กลับมีความมั่นใจอย่างเหลือเชื่อใน ออร่า หรือการส่งรัศมีจากภายในของเขา เขาดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อมั่นและสง่างาม อับดุลลาห์เชื่อว่าตัวเขาเองนั้นสมบูรณ์แบบ และนั่นคือเหตุผลที่เขาไม่เคยเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติ หรือถูกเหยียดสีผิว หรือปัญหาอื่น ๆ เหมือนที่คนผิวดำทั่วไปประสบ

เนวิลล์ทุ่มเทตัวเองอย่างหนักในการเรียนรู้ภาษาฮีบรู คัมภีร์คับบาล่าห์ (Kabbalah) และความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ของพระคัมภีร์

ปรัชญาและการสอนของ Neville Goddard

ในช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 เนวิลล์เริ่มบรรยายให้ผู้ฟังเกี่ยวกับแนวคิดเหล่านี้ เนวิลล์สอนผู้ฟังของเขาเกี่ยวกับพลังภายในในการสร้างความเป็นจริงของพวกเขาเอง

เนวิลล์เองก็เช่นเดียวกับอับดุลลาห์ ซึ่งเป็นทั้งอาจารย์และเพื่อนของเขา ต่างเชื่อมั่นในพลังของจินตนาการในการสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต เนวิลล์เชื่อว่ามนุษย์มีเพียงหนทางเดียวที่จะควบคุมชีวิตตนเองได้ นั่นก็คือ ผ่านการจินตนาการ

ดังนั้นเขาเชื่อว่าผู้ที่เรียนรู้ที่จะควบคุมจินตนาการของตนเองและใช้มันเพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกจะประสบความสำเร็จใน “เกมชีวิต” ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่ยังคงอยู่ภายใต้บงการของสถานการณ์ภายนอกโดยไม่ได้เรียนรู้ที่จะใช้จินตนาการในการสร้างสิ่งที่ตัวเองอยากได้อยากเป็นจะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์เหล่านั้น

ตามคำกล่าวของเนวิลล์ว่า “หยุดพยายามเปลี่ยนแปลงโลกภายนอก เพราะมันเป็นเพียงภาพสะท้อนเท่านั้น ความพยายามของมนุษย์ในการเปลี่ยนโลกด้วยกำลังนั้นไร้ประโยชน์พอๆ กับการทำลายกระจกด้วยความหวังว่าจะเปลี่ยนใบหน้าของตนเอง จงละทิ้งกระจกและเปลี่ยนใบหน้าของคุณเอง ละทิ้งโลกภายนอกและเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับตัวคุณ แล้วภาพสะท้อนก็จะน่าพึงพอใจ

ปรัชญาของเนวิลล์ ก็อดดาร์ด เน้นย้ำแนวคิดที่ว่าจินตนาการสามารถสร้างความเป็นจริงได้ คนเราสามารถดึงดูดสิ่งที่ปรารถนาให้เป็นจริงผ่านความเชื่อ การสร้างภาพในจินตนาการอย่างชัดเจน และการเข้าถึงความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับสิ่งนั้น หลักสำคัญของคำสอนของเขาคือแนวคิดของการ “ใช้ชีวิตในตอนท้าย” (living in the end) ซึ่งหมายถึงการกระทำและความรู้สึกราวกับว่าความปรารถนาของตนเองได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว

โดยสรุปแล้วปรัชญาและการสอนของเนวิลด์ มีดังนี้

หลักคำสอนหลัก

  • จินตนาการสร้างความจริง: เป็นหลักการสำคัญของปรัชญาของ Goddard เขาเชื่อว่าจินตนาการของเรานั้นไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็นพลังสร้างสรรค์ที่หล่อหลอมชีวิตของเรา สิ่งที่เราจินตนาการอย่างชัดเจนและเชื่อมั่นจะกลายเป็นความจริงของเรา
  • พระเจ้าภายใน: Neville ตีความความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าใหม่โดยกล่าวว่าพระเจ้าไม่ใช่ผู้มีอำนาจสูงสุดภายนอก แต่เป็นพลังสร้างสรรค์ของจิตสำนึกของเราเอง (จินตนาการ) เราแต่ละคนคือ “พระเจ้า” ของความจริงของตนเอง
  • พลังของ “ฉันเป็น”: Neville เน้นความสำคัญของคำว่า “ฉันเป็น” ตามด้วยสิ่งที่เราเชื่อว่าตัวเองเป็น การพูดกับตัวเองและความคิดเกี่ยวกับตัวเองนั้นหล่อหลอมสภาพแวดล้อมภายนอกของเรา
  • มีชีวิตอยู่กับจุดหมายปลายทาง: เทคนิคนี้เกี่ยวข้องกับการจินตนาการและรู้สึกอย่างชัดเจนว่าตนได้รับสิ่งที่ปรารถนาแล้ว โดยการแสดงออกถึงความรู้สึกนั้น คุณจะดึงดูดการแสดงออกทางกายภาพของสิ่งที่ต้องการให้เข้ามาในชีวิตของคุณ
  • การแก้ไข: Neville สอนว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้โดยการกลับไปแก้ไขความทรงจำในจินตนาการและเปลี่ยนแปลงอารมณ์และเหตุการณ์ภายในความทรงจำนั้น ความทรงจำที่ได้รับการแก้ไขนี้จะส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคต

แนวคิดทางปรัชญา

  • การปรุงแต่งจิตใต้สำนึก: Neville เชื่อว่าจิตใต้สำนึกของเรานั้นมีอิทธิพลมากกว่าความคิดของจิตสำนึก เขามุ่งสอนวิธีการสำหรับการเขียนโปรแกรมใหม่ให้กับจิตใต้สำนึกด้วยความเชื่อและภาพลักษณ์เชิงบวก
  • พระคัมภีร์ในฐานะสัญลักษณ์: Neville มองเรื่องราวในพระคัมภีร์เป็นเพียงอุปมาทางจิตวิทยามากกว่าประวัติศาสตร์ตามตัวอักษร พวกมันมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำงานของจิตใจและจิตสำนึกของมนุษย์
  • สภาวะของจิตสำนึก: เขาสอนว่าเมื่อเรากำลังจะหลับ เรากำลังเคลื่อนเข้าสู่สภาวะที่รับรู้จิตใต้สำนึกได้มากขึ้น ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่มีพลังสำหรับการจินตนาการและปลูกฝัง “เมล็ดพันธุ์” เชิงบวกเพื่อการแสดงออก

เนวิลล์ ก็อดดาร์ด ไม่เพียงแต่สอนแนวคิดที่เสริมสร้างพลังเหล่านี้เท่านั้น แต่เขายังแนะนำเทคนิคเฉพาะให้กับผู้ฟังของเขาที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อทำให้ความฝันของพวกเขาเป็นจริงได้

หนึ่งในเทคนิคการใช้กฏแห่งแรงดึงดูดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเนวิลล์คือเทคนิคการปีนบันได แล้วเทคนิคการปีนบันไดมันคืออะไรเหรอ เรามาดูกัน

เทคนิคนี้เป็นการทดสอบง่ายๆโดยการสร้างภาพจินตนาการในตอนกลางคืนตอนกำลังเคลิ้มซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จิตใต้สำนึกรับอะไรได้ง่ายที่สุด ทำอยู่บ่อยๆแบบนั้น ภาพจินตนาการที่สร้างนั้นจะเป็นเรื่องจริงในวันไดวันหนึ่งอีกไม่กี่วันข้างหน้า เนวิลล์จึงเลือกเอากิจกรรมที่เราไม่ค่อยจะได้ทำกันบ่อยๆ นั่นก็คือการปีนบันได

ความท้าทายให้กับผู้ที่คลางแคลงใจทุกคนในกลุ่มผู้ฟังของเขา เนวิลล์ต้องการแนะนำให้ผู้คนรู้จักพลังแห่งจินตนาการของตนเอง ดังนั้นเขาจึงคิดค้นแบบฝึกหัดการปีนบันไดขึ้นมา เขาต้องการพิสุจน์ให้ผู้ฟังของเขาว่าถ้าลองจินตนการว่าได้ปีนบันได้บ่อย แล้วเราจะมีโอกาสได้ปีนบันไดในชีวิตจริงหลังจากที่จินตนาการนั้นไปแล้วไม่กี่วันได้ไหม

หลังการทดสอบแล้วปรากฏว่าสิ่งที่จินตนาการนั้นเป็นจริงขึ้นก็สามารถใช้เทคนิคนี้กับเรื่องอื่นๆได้

เทคนิคนี้เนวิลล์สอนผู้ฟังว่าทุกคืนก่อนเข้านอน พวกเขาจะต้องจงใจฉายภาพในจินตนาการขึ้นในหัวอย่างชัดเจน โดยในภาพนั้นบุคคลนั้นจะเห็นตัวเองกำลังปีนบันไดและให้เห็นภาพฉากนั้นในรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ขณะทำสิ่งนี้ทุกคืน

เนวิลล์ยังขอให้พวกเขายืนยันกับตัวเอง (Affirm หรือบอกซ้ำย้ำๆกับตัวเอง) ในตอนกลางวันว่า “ฉันจะไม่ปีนบันได” ตลอดวัน หรือเท่าที่นึกได้ เหตุผลที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อแสดงให้ผู้ฟังเห็นว่าจิตใต้สำนึกของพวกเขา (ตอนนึกภาพกำลังปีนบันได้ในตอนกลางคืน) มีพลังมากกว่าจิตสำนึก (ตอนบอกตัวเองซ้ำๆย้ำๆตอนกลางวันว่าไม่ปีนบันได)

ความหมายก็คือหากพวกเขาประทับใจลงไปในจิตใต้สำนึกด้วยการกระทำของการปีนบันไดในตอนกลางคืน การยืนยันในทางตรงกันข้ามอย่างมีสติในตอนกลางก็แทบไม่มีผลกับสิ่งที่ประทับลงบนจิตใต้สำนึกในตอนกลางคืนแล้ว

เทคนิคการทดสอบจินตนาการว่าปีนบันไดทำดังนี้

ก่อนนอน: ขณะที่คุณกำลังเคลิ้มหลับ (แต่ยังไม่หลับยังมีสติ) ให้จินตนาการภาพตัวเองกำลังปีนบันไดอย่างชัดเจน มุ่งเน้นไปที่ประสาทสัมผัสทางกายภาพ: ความรู้สึกของลูกบันไดใต้มือและเท้า การเคลื่อนไหวของร่างกายของคุณ ที่สำคัญคือต้องเป็นภาพตัวเองกำลังปีนบันได คือตัวเราเป็นบุคคลที่ 1 หน้าหันเข้ากำแพง กำลังจับราว กำลังยกขาเหยียบทีละข้างๆ ไม่ใช่เห็นภาพมองจากข้างนอกเห็นตัวเองเป็นบุคคลที่ 3 กำลังปีนบันไดนะ

ตอนกลางวัน: บอกตัวเองซ้ำๆย้ำ ตลอดทั้งวัน ให้ท่องย้ำประโยคยืนยันว่า “ฉันจะไม่ปีนบันได” หรือจะหา post-it มาเขียนแปะไว้ในที่ต่างๆทั่วบ้านก็ได้ พอเดินไปทางไหนเห็น post-it ก็ท่องว่า ฉันจะไม่ปีนบันได

ทำกิจกรรมทั้งกลางวันกลางคืนแบบนี้ไปเรื่อยๆบางคนอาจจะใช้เวลา 3 วัน บางคนอาจจะ 5 วัน หรือบางคนอาจจะนานกว่านั้นนิดหน่อย ด้วยเหตุการณ์เชื่อมโยงบางอย่างจะมีสถานการณ์ให้ได้ปีนบันไดจริงในชีวิตจริงหลังจากนั้นไม่กี่วัน

ผู้คนจำนวนมากในกลุ่มผู้ฟังของเนวิลล์รับคำท้านี้ และได้ทดลองทำตาม ต่างประหลาดใจที่พวกเขาต้องปีนบันไดจริงๆไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

การทดสอบอันชาญฉลาดของเนวิลล์ นี้ยังยืนหยัดว่าได้ผลผ่านกาลเวลาจนมาถึงปัจจุบัน

จนถึงทุกวันนี้ ผู้คนยังคงใช้มันเพื่อทดสอบถึงพลังแห่งจินตนาการของพวกเขา เนวิลล์ยังสอนด้วยว่าแต่ละคนคือพระเจ้าแห่งความเป็นจริงของตนเอง จิตใต้สำนึกและจินตนาการเท่านั้นที่เป็นแรงผลักดันเบื้องหลังทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา เช่นกัน

เนวิลล์ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของคำว่า “ฉันคือ…” เนวิลล์กล่าวว่าอะไรก็ตามที่คุณเชื่อมโยงกับคำว่า “ฉันคือ…” ย่อมจะกลายเป็นความจริงของคุณ เพราะคุณคือพระเจ้า และไม่มีพลังอำนาจอื่นใดในชีวิตของคุณนอกจากจินตนาการของคุณเอง

ในคำพูดของเนวิลล์เองว่า “ฉันมั่งคั่ง ยากจน แข็งแรง ป่วยไข้ อิสระ ถูกคุมขัง” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้สึกหรือเงื่อนไขที่เรารับรู้ ก่อนที่มันจะกลายเป็นสิ่งที่แสดงออกอย่างชัดเจน โลกของคุณคือภาพสะท้อนของจิตสำนึก

ดังนั้นอย่าเสียเวลาพยายามเปลี่ยนแปลงภายนอก จงเปลี่ยนภายใน หรือความรู้สึกประทับใจ แล้วสิ่งภายนอกหรือการแสดงออกภายนอกจะจัดการตัวเองเอง

เมื่อความจริงของถ้อยแถลงนี้ฉายชัดขึ้นกับคุณ คุณจะรู้ว่าคุณได้ค้นพบ “คำที่หายไป” หรือ กุญแจสู่ทุกประตู “ฉันคือ…” จิตสำนึกของคุณคือคำมหัศจรรย์ที่หายไปซึ่งกลายเป็นเนื้อหนังและมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่คุณมีสติรับรู้อยู่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *