Law of Assumption คืออะไร มีความสำคัญต่อการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างไร

Law of Assumption คืออะไร

ในชีวิตเรามักจะพบว่าตัวเองกำลังต่อสู้กับความท้าทายอยู่ตลอดเวลา เราใฝ่ฝันถึงอนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน ปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ และโหยหาชีวิตที่เต็มไปด้วยความสำเร็จและชีวิตที่เติมเต็ม เช่นอยากรวย อยากมี อยากได้รับการยอมรับชื่นชม อยากมีเวลาเหลือเยอะๆ อยากไปนู้นไปนี่ อยากมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ฯลฯ

คำถามคือเราจะเปลี่ยนความฝันเหล่านี้ให้เป็นจริงได้อย่างไร เราจะเชื่อมช่องว่างระหว่างจุดที่เราอยู่ตอนนี้กับจุดที่เราต้องการจะเป็นได้อย่างไร

คำตอบอยู่ที่หลักการอันทรงพลังที่เรียกว่า Law of Assumption ซึ่งหากแปลเป็นไทยตรงๆก็คือ กฏแห่งการสมมุติ ซึ่งอาจจะฟังดูแล้วแปลกๆและดูงงๆนิดหน่อยว่ามันคืออะไร

ความหมายก็คือสมมุติสร้างความจริงขึ้นมาในใจ เช่นสมมุติว่ามี สมมุติว่าเป็น สมมุติว่าได้ไปนู้นนี่ สมมุติในเรื่องต่างๆ และถ้าเชื่อตามนั้นแบบจริงๆจังๆในที่สุดเรื่องที่เราสมมุตินั้นจะเป็นความจริง

เพื่อความสะดวกและไม่สับสนต่อไปในเนื้อหานี้เราจะใช้คำทับศัพท์ว่า The Law of Assumption

กฎนี้ระบุว่าอะไรก็ตามที่คุณเชื่อว่าเป็นจริงจะกลายเป็นความจริงของคุณ ซึ่งกฎนี้บอกเป็นนัยว่าคุณสามารถดึงดูดสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิตได้ ด้วยการคิดและรู้สึกราวกับว่าคุณได้เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้นแล้ว

กฎข้อนี้เผยแพร่โดยเนวิลล์ ก็อดดาร์ด (Neville Goddard) ซึ่งเราได้นำเสนอประวัติของเขาแล้วในเนื้อหาตอนที่ผ่านมา คุณสามารถกลับไปอ่านประวัติของ Neville Goddard ใน Neville Goddard คือใคร และคำสอนของเขาจะพลิกชีวิตชีวิตคุณอย่างไร

เนวิลล์ ก็อดดาร์ดระบุว่าการสมมติของเราสร้างความเป็นจริงของเราขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นจริงเกี่ยวกับตัวเราและสถานการณ์ของเราจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ที่เราประสบในโลกความเป็นจริง

กฏนี้เน้นย้ำถึงพลังแห่งความคิด ความเชื่อ และความคาดหวังของเราในการกำหนดเส้นทางชีวิตของเรา ความเชื่อเป็นรากฐานที่กฎแห่งการสมมติใช้ในการดำเนินงาน

เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford) เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณทำได้หรือคิดว่าคุณทำไม่ได้ คุณคิดถูกแล้ว” ความเชื่อของเรากำหนดขีดจำกัดของสิ่งที่เราสามารถบรรลุได้ หากเราเชื่อในความสามารถของเรา เราเปิดตัวเองสู่ความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด

ในทางกลับกัน หากเราสงสัยในตนเอง เราจะจำกัดศักยภาพและขัดขวางความก้าวหน้าของเราเอง เพื่อควบคุมพลังของกฎแห่งการสมมติ เราต้องเต็มใจที่จะเปลี่ยนมุมมองของเรา

หากจะใช้กฏนี้ให้ได้ผลต้องใช้ความพยายามอย่างมีสติเพื่อปรับกรอบความคิดของเราและนำความเชื่อที่เสริมพลังซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการของเรามาใช้

ดังที่เวย์น ไดเออร์ (Wayne Dyer) กล่าวไว้ว่า “เปลี่ยนวิธีที่คุณมองสิ่งต่างๆ แล้วสิ่งที่คุณมองก็จะเปลี่ยนไป” วิธีที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนมุมมองของเราคือการปลูกฝังแนวคิดว่าทรัพยากรในจักรวาลนี้มีออย่างอุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลน และสิ่งที่เราต้องการได้ต้องการจะเป็นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ข้อจำกัดและความขาดแคลน เราสามารถเลือกที่จะมองเห็นโอกาสและความอุดมสมบูรณ์ในทุกสถานการณ์ การเปลี่ยนมุมมองนี้ช่วยให้เราเข้าถึงความท้าทายด้วยการมองโลกในแง่ดีและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์และมีไอเดียใหม่ๆ

การทำความเข้าใจแนวคิดของกฎแห่งการสมมติเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เพื่อให้ความฝันของเราเป็นจริง เราต้องนำกฎแห่งการสมมติมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา

ขั้นตอนในการปฎิบัต

ต่อไปนี้คือขั้นตอนเชิงปฏิบัติที่จะช่วยให้คุณควบคุมพลังของกฎแห่งการสมมติ:

ขั้นตอนที่ 1: เพื่อให้ความฝันของคุณเป็นจริง คุณต้องระบุสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริงก่อน ใช้เวลาไตร่ตรองถึงเป้าหมายและแรงบันดาลใจของคุณ

  • คุณต้องการอะไร?
  • คุณอยากให้ชีวิตคุณเป็นแบบไหน
  • คุณอยากจะรู้สึกอย่างไร?

ระบุให้ชัดเจนและจินตนาการอย่างชัดเจนถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ

ดังที่นโปเลียน ฮิลล์ (Napoleon Hill) เคยกล่าวไว้ว่า “ความปรารถนาคือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งหมด”

เขียนความปรารถนาของคุณ สิ่งที่คุณต้องการ ลงไปในกระดาษ สมุด หรืออะไรก็แล้วแต่ที่คุณสามารถกลับมาอ่านมันได้เรื่อยๆ

ที่สำคัญสร้างวิชั่นบอร์ด (Vision Board) หรือกระดานรวบรวมภาพแสดงสิ่งที่คุณต้องการดึงดูดเข้ามาในชีวิต

การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณซึมซับความปรารถนาของคุณเข้าไปภายในจิตใจ และตอกย้ำความต้องการของคุณ ซึ่งจะช่วยให้จิตใต้สำนึกของคุณสอดคล้องกับความตั้งใจที่อยู่ในจิตสำนึก

ขั้นตอนที่สอง: เมื่อคุณระบุความต้องการของคุณได้อย่างชัดเจนแล้ว ให้หลับตาและสร้างภาพในใจว่าตัวคุณเองกำลังใช้ชีวิตที่คุณต้องการ มีสิ่งที่อยากได้ เป็นคนที่อยากเป็นแล้ว

เห็นภาพตัวเองอยู่ในชีวิตที่คุณต้องการ ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดของคุณเพื่อทำให้ประสบการณ์นี้สมจริงที่สุด

มองเห็นสีสันที่สดใส ได้ยินเสียงแห่งความสำเร็จ สัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึกของความสำเร็จ และดื่มด่ำไปกับภาพที่อยู่ในใจของคุณ

การสร้างภาพและความรู้สึกดังกล่าวมีวัตถุประสงค์สองประการ

ประการแรกมันทำให้เห็นสิ่งที่คุณต้องการชัดเจนและสร้างภาพลักษณ์อย่างละเอียดของสิ่งที่คุณต้องการจะแสดง ประการที่สอง มันช่วยให้คุณเพาะบ่มอารมณ์และความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงที่คุณต้องการ

เมื่อคุณจินตนาการถึงความสำเร็จของคุณอย่างหนักแน่น จิตใต้สำนึกของคุณจะตีความมันว่ามันเป็นความจริงและเริ่มที่จะจัดแนวความคิด ความเชื่อ และการกระทำของคุณเอง สร้างพลังในตัวแบบคุณแทบไม่รู้ตัว ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงนั้น

ขั้นตอนที่ 3 การยืนยันเชิงบวก (Affirmation) เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยปรับความคิดและความเชื่อของคุณให้สอดคล้องกับความปรารถนาของคุณ

ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของคุณคือการเริ่มต้นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คุณอาจยืนยันว่า

  • ฉันเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ
  • ฉันดึงดูดโอกาสและความอุดมสมบูรณ์เข้ามาในชีวิตของฉันทุกวัน
  • ธุรกิจของฉันเติบโตและเจริญรุ่งเรือง
  • ด้วยการยืนยันอย่างมีสติถึงความจริงที่คุณต้องการ คุณจะเสริมสร้างสมมติฐานของคุณและเชื้อเชิญให้ความฝันของคุณปรากฏเป็นจริง

อย่างที่หลุยส์ เฮย์กล่าวไว้ว่า ทุกความคิดที่เราคิดนั้นกำลังสร้างอนาคตของเรา

ขั้นตอนที่ 4 เชื่อมช่องว่างระหว่างความเป็นจริงในปัจจุบันกับผลลัพธ์ที่คุณปรารถนา จงวางตัวราวกับว่าความฝันของคุณเป็นจริงแล้ว โดยผ่านการกระทำ ทัศนคติ ท่าที การแสดงออก และปรับอุปนิสัยให้สอดคล้องกับสิ่งที่คุณต้องการจะได้ หรือต้องการจะเป็น

  • ตัวอย่างเช่น หากคุณปรารถนาที่จะเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ ให้เริ่มต้นด้วยการวางตัวราวกับว่าคุณเป็นนักเขียนที่ผลงานได้รับการตีพิมพ์อยู่แล้ว
  • อุทิศเวลาในแต่ละวันให้กับการเขียน
  • เข้าร่วมเวิร์คช็อปการเขียน เชื่อมต่อกับนักเขียนคนอื่นๆ และนึกภาพตัวเองกำลังแจกลายเซ็นหนังสือที่ร้านหนังสือ
  • การวางตัวราวกับว่าคุณทำสำเร็จแล้วนั้น

คุณกำลังสร้างการประสานอันทรงพลังระหว่างความคิด ความเชื่อ และการกระทำ

ระบุและจัดการความเชื่อที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด

ขณะที่คุณกำลังทำตามขั้นตอนเหล่านี้ให้ระบุความเชื่อที่มีแต่ข้อจำกัด (Limiting beliefs) ที่คุณมี เพื่อที่จะใช้พลังแห่งกฎแรงดึงดูดอย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องระบุและเอาชนะความเชื่อที่จำกัดซึ่งอาจจะกำลังฉุดรั้งคุณไว้

ตัวอย่างของความเชื่อที่มีข้อจำกัด (Limiting beliefs) เช่น

  • เชื่อว่าตัวคุณไม่ควรค่าที่จะร่ำรวย
  • เชื่อว่าตัวคุณทำหรือเป็นอย่างที่ต้องการไม่ได้
  • เชื่อว่าเงินคือต้นเหตุของความชั่วร้ายทั้งปวง
  • เชื่อว่าคนรวยเป็นคนเห็นแก่ตัว
  • เชื่อว่าเมื่อได้มาต้องมีคนเสียไป
  • เชื่อว่าชีวิตถูกกำหนดไว้แล้วโดยโชคชะตา เป็นต้น

ความเชื่อเหล่านี้เป็นความเชื่อที่จะคอยฉุดรั้งไม่ให้คนได้สิ่งที่คุณต้องการ ดังนั้นคุณต้องจัดการและกำจัดมันออกไปจากความคิดความเชื่อของคุณเอง

ความเชื่อเหล่านี้มักเกิดจากประสบการณ์ในอดีต การปรับสภาพทางสังคม (social conditioning) หรือความสงสัยในตนเอง

ใช้เวลาในการพิจารณาความเชื่อของคุณ และถามตัวเองว่า…

  • ฉันมีความเชื่ออะไรเกี่ยวกับตัวเองและศักยภาพของฉัน?
  • ความเชื่อเหล่านี้กำลังส่งเสริมฉันอยู่หรือเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของฉัน?

ความเชื่อที่จำกัดตัวคุณ สามารถปรากฏชัดในหลากหลายด้านของชีวิต เช่น ความสัมพันธ์ อาชีพ การเงิน หรือคุณค่าในตนเอง ความเชื่อเหล่านี้มักจะปรากฏในรูปแบบของความคิดที่วิพากษ์วิจารณ์ตนเอง ความสงสัย หรือความกลัว ตัวอย่างทั่วไปบางประการได้แก่:

  • ฉันไม่ฉลาดหรือมีความสามารถพอที่จะประสบความสำเร็จ
  • ฉันไม่คู่ควรกับความสุขและความอุดมสมบูรณ์
  • ฉันล้มเหลวในทุกสิ่งที่ทำอยู่เสมอ

การท้าทายความเชื่อที่จำกัดตัวคุณ

ด้วยการระบุความเชื่อที่จำกัดเหล่านี้ คุณได้นำความเชื่อเหล่านั้นเข้ามาสู่การรับรู้ของคุณ และสามารถเริ่มต้นที่จะท้าทายพวกมันได้

เมื่อคุณระบุความเชื่อที่จำกัดของคุณแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะท้าทายพวกมัน

  • ตั้งคำถามถึงความถูกต้องของพวกมันและหาหลักฐานที่โต้แย้งกับความเชื่อเหล่านั้น
  • แทนที่การพูดคุยกับตัวเองในแง่ลบด้วยการยืนยันเชิงบวก (Affirmation) และความเชื่อที่สนับสนุนตัวเอง
  • ตัวอย่างเช่น หากคุณเชื่อว่าคุณไม่ฉลาดพอที่จะประสบความสำเร็จ ให้ท้าทายความเชื่อนี้โดยการยอมรับในความสำเร็จในอดีตของคุณ มันอาจจะเป็นความสำเร็จเล็กน้อยหรือใหญ่ก็ได้
  • การหาแรงบันดาลใจจากคนอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน และเปลี่ยนกรอบความคิดเป็น “ฉันมีความสามารถที่จะเรียนรู้และเติบโตในทุกสาขาที่ฉันเลือก

บทสรุป

โปรดจำไว้ ดังที่ โทนี่ ร็อบบินส์ กล่าวไว้ว่า “ไม่ใช่อุปสรรคในชีวิตที่หล่อหลอมเรา แต่เป็นความเชื่อของเราว่าอุปสรรคเหล่านั้นมีความหมายอย่างไร”

ความเชื่อของเราไม่ได้ถูกกำหนดไว้ตายตัว และเรามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ การแสดงออกซึ่งความฝันของคุณผ่านกฎแรงดึงดูดนั้น ต้องอาศัยความอดทน กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว ความฝันของเราก็เช่นกัน

จงเชื่อมั่นในกระบวนการนี้ รักษาความมุ่งมั่นในวิสัยทัศน์ของคุณ และอดทนแม้ว่าผลลัพธ์อาจจะไม่ปรากฏทันที

ดังที่ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน (Ralph Waldo Emerson) กล่าวไว้อย่างชาญฉลาดว่า ‘จงดำเนินชีวิตตามจังหวะของธรรมชาติ ความลับของเธอคือความอดทน’

เพื่อที่จะยอมรับกฎแรงดึงดูดอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องเชื่อมั่นในพลังที่สูงกว่า หรือจักรวาลนี้ เชื่อมั่นว่าจักรวาลกำลังทำงานเพื่อคุณ นำทางคุณไปสู่ความฝัน ปล่อยวางความต้องการที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง และลื่นไหลไปตามกระแสแห่งชีวิต

ดังที่เหล่าจื๊อได้กล่าวไว้ว่า ‘ธรรมชาติไม่เร่งรีบ แต่ทุกสิ่งล้วนสำเร็จ’

โชคชะตาของคุณอยู่ในมือคุณ และความเป็นไปได้นั้นไร้ขีดจำกัด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *