วิธีใช้กฎแห่งการสมมุติ The Law of Assumption อย่างเชี่ยวชาญ (เพื่อให้ได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ)

คุณเคยรู้สึกว่าชีวิตกำลังดำเนินไปโดยที่คุณไม่มีอำนาจควบคุมบ้างไหม? ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน สิ่งต่างๆ ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามที่คุณต้องการเลย

แล้วถ้าเราบอกคุณว่ามีพลังที่มีอิทธิพลมหาศาลในชีวิตของเราที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ล่ะ โดยที่ตัวคุณเองก็อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน?

พลังนั้นเรียกว่า กฎแห่งการสมมุติ (The Law of Assumption) หรือบางคนอาจจะเรียกว่ากฏแห่งการสวมบทบาท มันเป็นหลักการที่มีการศึกษาและเขียนถึงมาหลายศตวรรษแล้ว

เราได้กล่าวถึงกฏแห่งการสมมุติกันมาบ้างแล้วในเนื้อหาเรื่อง Law of Assumption คืออะไร มีความสำคัญต่อการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างไร

แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไรและเราจะใช้มันเพื่อให้ได้สิ่งที่เราปรารถนาได้อย่างไร บทนี้เราจะมาศึกษาต่อในรายละเอียดของกฏนี้ให้ชัดเจนขึ้น

การทำความเข้าใจกฎแห่งการสมมุติ (The Law of Assumption)

ก่อนอื่นเรามาแยกส่วนกันก่อนว่า กฎแห่งการสมมุตินั้นหมายความว่าอะไร

โดยพื้นฐานแล้ว กฎข้อนี้ระบุว่าความคิดและความเชื่อของเรานั้นเป็นตัวหล่อหลอมความเป็นจริงของเรา หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราสมมุติหรือสมบทบาทว่าในใจอย่างเชื่อมันว่ามันเป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับตัวเราและโลกรอบตัวเรานั้น ในที่สุดก็จะกลายเป็นความจริงของเรา

ลองคิดดูแบบนี้ จิตใจของคุณเหมือนกับสวน หากคุณหยอดเมล็ดพันธุ์อะไรลงไป ไม่ว่าจะเป็นความคิดและความเชื่อที่เป็นบวกหรือลบ ในที่สุดแล้วผลของมันก็จะเติบโตกลายเป็นความเป็นจริงของคุณ

หากคุณบอกตัวเองอยู่เสมอว่าคุณไม่ดีพอ หรือคุณจะไม่มีวันไปถึงความฝัน หรือคุณไม่คู่ควรกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ความคิดเหล่านั้นก็จะปรากฏชัดขึ้นในความเป็นจริงของคุณ แต่ในทางกลับกัน หากคุณหยอดเมล็ดแห่งความคิดบวกและความมั่นใจ คุณเชื่อว่าคุณทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ คุณสมควรได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ความเชื่อเหล่านั้นก็จะเติบโตและกลายความจริงของคุณเช่นกัน

ต้นกำเนิดและแนวคิดของกฎแห่งการสมมุติ (The Law of Assumption)

จุดเริ่มต้นของการค้นพบกฎแห่งการสมมุติสามารถย้อนกลับไปถึงคำสอนของ เนวิลล์ ก็อดดาร์ด (Neville Goddard) ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในด้านแนวคิดอภิปรัชญา (metaphysical thought) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20

Neville Goddard ได้เบี่ยงเบนไปจากหลักการของกฎแห่งการดึงดูด (Law of Attraction) กระแสหลักด้วยมุมมองที่ไม่เหมือนใคร เขาตั้งสมมติฐานว่าความเป็นจริงของเรานั้นไม่ได้เกิดจากการดึงดูดเข้าหาตัว

แต่เกิดจากการสมมุติขึ้นในใจของเราเอง ซึ่งแตกต่างจากความเชื่อที่เป็นที่นิยมว่าความคิดของเราจะส่งคลื่นพลังออกไปสู่จักรวาลเพื่อดึงดูดสิ่งที่เราปรารถนามาให้

Neville Goddard เสนอว่าความเป็นจริงของเราเป็นเพียงภาพสะท้อนของสิ่งที่เราสมมุติขึ้นภายในใจของเรา ดังนั้นกฎแห่งการสมมุติจึงเน้นที่การทำงานภายในเพื่อทำให้ความปรารถนาของเราเป็นรูปธรรมราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นจริงแล้ว

ซึ่งตรงกันข้ามกับการร้องขอสิ่งต่างๆ จากภายนอกจักรวาล หัวใจสำคัญของคำสอนของก็อดดาร์ดนั้นตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ทรงพลัง

นั่นคือ การสมมุติถึงความรู้สึกเมื่อความปรารถนาของคุณได้สำเร็จลุล่วงแล้ว

วลีนี้สรุปหลักการสำคัญพื้นฐานของกฎแห่งการสมมุติได้อย่างครบถ้วน มันสนับสนุนให้เราไม่เพียงแต่มองเห็นความปรารถนาของเราเท่านั้น แต่ให้มีชีวิตอยู่ร่วมกับความรู้สึก อารมณ์ และทัศนคติที่เราจะมี

หากความปรารถนานั้นๆ ได้กลายเป็นความเป็นจริงของเราในปัจจุบัน โดยการบ่มเพาะความรู้สึกเช่นนี้ เรากำลังหยอดเมล็ดแห่งความปรารถนาลงในดินอันอุดมสมบูรณ์ของจิตใต้สำนึก ซึ่งจะเป็นการเตรียมเวที เพื่อให้ความปราถนาผลิบานเป็นความจริงในชีวิตของเรา

วิทยาศาสตร์เบื้องหลังกฎแห่งการสมมุติ (The Law of Assumption)

กฎแห่งการสมมุติไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิดทางปรัชญาเท่านั้น แต่ยังมีรากฐานอยู่ในขอบเขตของประสาทวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงานของจิตใต้สำนึกของเรา

จิตใต้สำนึกนั้นเปรียบเสมือนขุมพลังที่มีศักยภาพมหาศาล ทำงานอย่างต่อเนื่องในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลแม้ในขณะที่เราไม่ได้ตระหนักถึงมันอย่างมีสติก็ตาม

จิตใต้สำนึกนั้นเปรียบเหมือนสวนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งยินดีรับเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อและสิ่งที่เราสมมุติขึ้น จากนั้นก็บ่มเพาะสิ่งเหล่านั้นจนกระทั่งผลิบานเป็นความจริงในชีวิตของเรา

บทบาทของสมองในการสร้างความเป็นจริงผ่านการสมมตินั้นไม่สามารถพูดเกินจริงได้มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสมมุติที่ฝังแน่น ทำให้สมองของเราทำงานในรูปแบบหนึ่งๆ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรารับรู้สภาพแวดล้อมของเราผ่านเลนส์ของการสมมตินั้นๆ ปรากฏการณ์นี้เรียกอีกอย่างว่าอคติทางความคิด หรืออคติยืนยัน ซึ่งเป็นจุดที่สมองของเราแสวงหาหลักฐานเพื่อยืนยันสิ่งที่มันเชื่ออยู่แล้ว

ดังนั้นการตอกย้ำการสมมติเหล่านี้และทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งในความจริงของเรา หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจที่สุดของพลังแห่งจิตใจและความเชื่อนั้นก็คือปรากฏการณ์ยาหลอก (placebo effect) ในการทดลองทางการแพทย์

บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยแสดงอาการดีขึ้นเมื่อได้รับยาหลอก ซึ่งเป็นเพียงเม็ดยาที่ทำจากน้ำตาล หรือการฉีดน้ำเกลือ ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าตนเองได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง

การสมมตินี้จะก่อให้เกิดการตอบสนองทางสรีรวิทยาที่แท้จริง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังอันเหลือเชื่อที่ความเชื่อและการสมมติของเรามีต่อสุขภาพกายของเรา ปรากฏการณ์ยานี้ได้ตอกย้ำหลักการพื้นฐานของกฎแห่งการสมมุติที่ว่า สิ่งที่เราเชื่อมั่นและสมมติขึ้นมาอย่างแน่วแน่นั้น เรานำมันเข้ามาสู่ความเป็นจริงของเรา

วิธีการทำงานของกฎแห่งการสมมุติ

ลองนึกภาพจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลว่าเป็นทุ่งพลังงานที่ขยายตัวอยู่ตลอดเวลา โดยที่ทุกความคิด การสมมุติ หรือความเชื่อที่เรายึดมั่นนั้นจะสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่ที่มีลักษณะเฉพาะตัว

แนวคิดที่มีพลังนี้ซึ่งมักถูกเรียกว่า คลื่นความถี่ (Vibrational Frequency) ทำหน้าที่เป็นหลักการพื้นฐานที่ยืนยันว่าสิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกันเข้ามา

แนวคิดนี้มีนัยยะว่าพลังงานบวกหรือลบที่เราปล่อยออกมานั้นมีความเกี่ยวโยงโดยเนื้อแท้กับประสบการณ์ที่เราดึงดูดเข้ามา คล้ายกับที่เรากำลังปรับคลื่นวิทยุเพื่อให้สอดคล้องกับคลื่นที่เราเลือก

การสมมติของเราซึ่งเป็นความเชื่อที่ฝังแน่นเกี่ยวกับตัวเราเองและโลก จะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของเรา การสมมติเหล่านั้นเป็นเครื่องมือทรงพลังที่หล่อหลอมพฤติกรรม เป็นผู้ชี้ทางการตัดสินใจ และดึงดูดผลลัพธ์บางอย่างในชีวิตเรา

ลองนึกภาพการสมมุติของเราว่าเป็นพวงมาลัยรถยนต์ที่เป็นตัวบังคับชีวิตของคุณให้เคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่คุณเชื่อในระดับจิตใต้สำนึกว่าคุณสมควรได้รับ

ด้วยการยอมรับและเข้าใจอิทธิพลของการสมมติ เราจะได้รับโอกาสในการขยายขอบเขตของตนเอง และท้าทายข้อจำกัดที่เรามี เราสามารถเลือกที่จะตั้งคำถามและปรับเปลี่ยนความเชื่อเหล่านี้อย่างมีสติ

เพื่อเปิดใจยอมรับความเป็นไปได้ใหม่ๆ และประสบการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต การมีกรอบความคิดแบบเติบโตและพัฒนาตนเองอยู่เสมอจะทำให้เราบ่มเพาะความสามารถในการฟื้นตัวและการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ในขณะที่เราเดินทางฝ่าฟันภูมิทัศน์ของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้นขอให้คุณใช้เวลาสักครู่เพื่อไตร่ตรองเรื่องการสมมุติหรือความเชื่อที่ยึดถืออยู่ว่าสิ่งเหล่านั้นนำพาผลที่ดีให้แก่คุณหรือไม่ หรือสิ่งเหล่านั้นกำลังรั้งคุณไว้ไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยความตระหนักรู้ในตนเองและความเต็มใจที่จะสำรวจ

เราสามารถควบคุมพลังอำนาจของการสมมติเพื่อหล่อหลอมความเป็นจริงที่สอดคล้องกับศักยภาพที่แท้จริงของเรา ขอให้การสมมุติของคุณเป็นเข็มทิศที่นำทางคุณไปสู่ชีวิตที่เติมเต็มความปรารถนาและมีเป้าหมายที่ชัดเจน

มาถึงตรงนี้เรามาเจาะลึกสิ่งที่เราเรียกกันว่าปรากฏการณ์ระลอกคลื่น (Ripple effect) กันดีกว่า

พลังของการสมมุติในเชิงบวกเพียงเล็กน้อยนั้น ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง มันเหมือนกับการโยนก้อนกรวดลงไปในบ่อน้ำที่นิ่งสงบ ซึ่งจะสร้างระลอกคลื่นแห่งผลลัพธ์เชิงบวกที่จะส่งผลกระทบยาวนาน

บางสิ่งที่เรียบง่ายอย่างความเชื่อที่ว่า “ฉันทำสำเร็จได้” นั้นมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงจรรยาบรรณในการทำงาน ความสามารถในการฟื้นตัว และวิธีที่คุณตอบสนองต่อความท้าทาย

ซึ่งท้ายที่สุดจะนำทางคุณไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จที่น่าทึ่ง ดังคำกล่าวที่ว่า โบราณกล่าวไว้ว่า หากคุณเปลี่ยนความคิด คุณก็จะเปลี่ยนชีวิต

จำไว้เสมอว่าภายใต้พื้นผิวจิตสำนึกของเรานั้นมีพลังที่ทรงอานุภาพซ่อนอยู่ และเมื่อมันได้รับการเข้าใจและควบคุม พลังนั้นก็จะมีความสามารถในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในความเป็นจริงของเรา

ด้วยการดึงเอาพลังอันลึกซึ้งนี้ขึ้นมาเราจะสามารถปลดล็อกโลกแห่งความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด และสร้างอนาคตที่เหนือกว่าความฝันอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา

ขั้นตอนในการให้กฎแห่งการสมมุติอย่างเชี่ยวชาญ

ขั้นตอนแรกคือ คุณต้องรู้อย่างชัดเจนว่าคุณต้องการอะไร ใช้เวลาในการสร้างภาพขึ้นในใจ (visualize) ให้ชัดเจนที่สุดว่าคุณอยากให้สิ่งใดปรากฏชัดขึ้นในชีวิต สร้างภาพนั้นขึ้นในจินตนาการด้วยความสดใสราวกับว่าคุณกำลังรับชมภาพยนตร์ความละเอียดสูง และดื่มด่ำไปกับรายละเอียดต่างๆ

ปล่อยให้จินตนาการของคุณวาดภาพแห่งความเป็นจริงในอุดมคติของคุณออกมาให้ชัดเจนและมีชีวิตชีวา การเขียนหรือการสร้างบอร์ดวิชั่น (vision board) ก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการทำให้วิสัยทัศน์นี้มั่นคงในจิตสำนึกของคุณและทำให้มันกลายเป็นความจริงขึ้นมา

ขั้นต่อมาคือการประสานอารมณ์ให้สอดคล้องกับความปรารถนา โดยทั่วไปแล้วขั้นตอนนี้เรียกว่า การประสานอารมณ์ (emotional alignment) ซึ่งก็คือหลับตานึกถึงสิ่งที่คุณต้องการแล้วสร้างความรู้สึกว่าคุณได้มันมาแล้ว คุณทำสำเร็จแล้ว ดื่มด่ำไปกับอารมณ์ความรู้สึกราวกับว่าคุณได้ครอบครองสิ่งที่คุณต้องการแล้ว

นั่นก็คือสร้างความรู้สึกราวกับว่ามันได้เป็นของคุณเรียบร้อยแล้ว เทคนิคอย่างการทำสมาธิ การสร้างภาพในใจ (visualization) และการยืนยันเชิงบวก (affirmation) สามารถช่วยคุณเชื่อมโยงเข้ากับความเป็นจริงที่คุณปรารถนาอย่างลึกซึ้งได้เป็นอย่างมาก

ใช้เวลาฝึกฝนสิ่งเหล่านี้และปล่อยให้ตัวเองได้สัมผัสกับความรู้สึกแห่งความอุดมสมบูรณ์และเติมเต็มที่เกิดขึ้นมาเมื่อคุณประสานอารมณ์ของคุณให้สอดคล้องกับความปรารถนา

เชื่อและยอมรับกระบวนการอันทรงพลังนี้และเป็นสักขีพยานในการที่ความฝันของคุณกลายเป็นความจริง หลังจากนั้นใช้ชีวิตราวกับว่า คุณได้บรรลุในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว

มันหมายถึงการคิดและมีพฤติกรรมราวกับว่าคุณได้บรรลุความปรารถนานั้นแล้วอย่างเต็มที่ ยอมรับความมั่นใจ ความเด็ดเดี่ยว และความเชื่ออันแน่วแน่ในการบรรลุเป้าหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้วยการนำกรอบความคิดนี้มาใช้และปรับการกระทำของคุณให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่คุณตั้งใจจะสร้าง คุณจะปูทางไปสู่ความสำเร็จและความเติมเต็มที่หาที่เปรียบมิได้

ในกระบวนการนี้ สิ่งสำคัญคือการปล่อยวางความสงสัยและความกลัว และยอมรับในความเชื่อที่เป็นตัวถ่วงอย่างเต็มที่ วางกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความเชื่อเชิงบวก

ใช้เทคนิคต่างๆ อย่างการเขียนบันทึก การยืนยันเชิงบวก (positive affirmations) และการปรับโครงสร้างความคิด (cognitive reframing) เพื่อสำรวจความเชื่อและการสมมุติในเชิงลบ ท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้จะปูทางไปสู่การพัฒนาส่วนบุคคลและความสำเร็จ

การฝึกฝนที่สำคัญในกระบวนการนี้คือการแสดงความขอบคุณกับสิ่งที่ได้รับ การบ่มเพาะความรู้สึกขอบคุณอย่างลึกซึ้งสำหรับสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วจะสร้างวงจรตอบรับที่ทรงพลังและเป็นบวก ซึ่งเป็นตัวเร่งกระบวนการที่จะทำให้สิ่งที่คุณปรารถนาเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น

มันเกี่ยวกับการที่คุณชื่นชมอย่างเต็มหัวใจและยอมรับในความอุดมสมบูรณ์ของความสุขในชีวิตของคุณ ในขณะที่ยังคงเปิดกว้างและพร้อมที่จะรับประสบการณ์และโอกาสที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าเดิม

สุดท้ายนี้ ขอให้จำไว้ว่าการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอคือสิ่งสำคัญ ทำให้การฝึกฝนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคุณ การทำซ้ำๆ จะทำให้การสมมุติเหล่านี้ถูกฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำคำมั่นสัญญาที่คุณมีต่อความปรารถนา

ขอให้คุณเข้าใจถึงความสำคัญของความอดทนและความพยายามอย่างไม่ลดละ เพราะการทำให้สิ่งที่คุณปรารถนาเกิดขึ้นเป็นการเดินทางที่สวยงาม ไม่ใช่การแข่งขัน เดินหน้าต่อไป เชื่อมั่นต่อไป สมมุติต่อไป แล้วคุณจะได้เห็นว่าความมหัศจรรย์กำลังจะปรากฏในชีวิตของคุณ

ความผิดพลาดและความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

กับดักที่พบเห็นได้บ่อยครั้งในการเดินทางเพื่อนำกฎแห่งการสมมุตมาใช้ในชีวิตจริง เกิดจากการยึดติดอยู่กับผลลัพธ์หรือช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง

มันก็คล้ายๆ กับการพยายามจับผีเสื้อด้วยการกำมือของคุณแน่นๆ ยิ่งคุณกำแน่นเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสสูงขึ้นเท่านั้นที่ผีเสื้อจะหลุดลอยไป

การปล่อยวางความคาดหวังที่ยึดติดอยู่กับบางสิ่งบางอย่างจะเปิดโอกาสให้จักรวาลแสดงปาฏิหาริย์ เพื่อส่งมอบสิ่งที่คุณปรารถนาให้คุณด้วยวิธีการที่ดีที่สุดและในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด

แทนที่จะยึดติดอะไรแน่นๆ ลองจินตนาการว่าคุณกำลังยื่นมือออกไปเบาๆ เพื่อสร้างพื้นที่ต้อนรับให้ผีเสื้อได้มาเกาะ ยอมรับความไม่แน่นอนและเชื่อมั่นว่าทุกอย่างเกิดขึ้นตามจังหวะเวลาของจักรวาล

โดยการปล่อยวางความต้องการที่จะควบคุมทุกอย่างคุณจะเปิดตัวเองให้พร้อมรับกับความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด และเปิดโอกาสให้จักรวาลสร้างความประหลาดใจด้วยของขวัญอันงดงามให้กับคุณ

จำไว้ว่าสิ่งใดที่เป็นของคุณย่อมไม่มีวันหลุดลอยไป ดังนั้นคลายกำปั้นของคุณแล้วปล่อยให้เวทมนตร์นั้นคลี่คลายออกมา

ความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อยคือการละเลยการกระทำ การคิดว่าแค่สร้างภาพในใจ (visualization) และการสมมุติเพียงอย่างเดียวโดยไม่ลงมือทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ลองคิดถึงมันว่าเป็นเหมือนการปลูกเมล็ดพันธุ์แล้วคาดหวังว่ามันจะเติบโตโดยที่เราไม่รดน้ำหรือไม่ให้มันได้รับแสงแดด

คุณต้องลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายเพื่อบ่มเพาะและปลูกฝังความฝันให้เป็นจริง จำไว้ว่าความสำเร็จไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน มันต้องการความพยายามอย่างต่อเนื่อง การอุทิศตน และความเพียรพยายาม ยอมรับในการเดินทาง เรียนรู้จากความผิดพลาด และก้าวต่อไปข้างหน้า ในแต่ละย่างก้าวที่คุณก้าวไปนั้น คุณจะเข้าใกล้การเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริงมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น

  • อย่าเพียงแค่ฝันอย่างเดียว แต่ลงมือทำด้วย
  • เข้าควบคุมชะตาชีวิตของคุณและทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น
  • เชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในกระบวนการนี้
  • และอย่าประเมินพลังของการทำงานหนักและความมุ่งมั่นต่ำเกินไป

เป้าหมายของคุณอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม และด้วยกรอบความคิดและการกระทำที่ถูกต้อง คุณสามารถไปให้ถึงฝั่งได้ สุดท้ายนี้การที่คุณให้ความสำคัญกับความปรารถนามากมายพร้อมๆ กันนั้น จะเป็นการกระจายพลังงานและสมาธิของคุณออกไป

เหมือนกับการพยายามที่จะจับลูกบอลหลายๆ ลูกพร้อมกัน การมุ่งความสนใจไปที่ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวจนกระทั่งมันแสดงผลออกมาชัดเจนจะเป็นวิธีการที่ได้ผลดีกว่า

หลังจากบรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว ให้คุณเริ่มต้นทำสิ่งเดียวกันในการมุ่งไปสู่ความปรารถนาต่อไป แนวทางนี้เสริมสร้างความชัดเจนในเจตนา ความลึกซึ้งในความเชื่อ และความสม่ำเสมอในการดำเนินการ

ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อความสำเร็จในการทำให้สิ่งที่เราคิดและปรารถนาเกิดขึ้นได้ ด้วยการทุ่มเทพลังงานไปยังความปรารถนาหนึ่งเดียวในแต่ละครั้ง คุณทำให้ตัวคุณเองมีโอกาสที่จะดื่มด่ำไปกับการไล่ล่าความฝันได้อย่างเต็มที่ โดยการใช้พลังของสมาธิและการอุทิศตน

แนวทางที่มุ่งความสนใจเฉพาะจุดนี้ไม่เพียงเพิ่มโอกาสในการบรรลุความปรารถนาแต่ละอันเท่านั้น แต่ยังบ่มเพาะความรู้สึกถึงความสำเร็จและเติมเต็มไปตลอดเส้นทางอีกด้วย จำไว้ว่าความสำเร็จนั้นอยู่ที่การไล่ล่าความปรารถนาต่าง ๆ ของคุณอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและโดยตั้งใจจริง ซึ่งจะช่วยให้คุณได้ยอมรับอย่างเต็มหัวใจในการเดินทางของคุณ

ตัวอย่างเรื่องราวความสำเร็จในชีวิตจริง

เรื่องราวความสำเร็จในการสร้างสิ่งที่ปรารถนาให้เป็นจริง หนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการทำความเข้าใจกฎแห่งการสมมุติก็คือ การศึกษาตัวอย่างในชีวิตจริงของผู้ที่ใช้กฎข้อนี้ในการทำให้ความปรารถนานั้นเกิดขึ้นจริง

ลองพิจารณาเรื่องราวของมหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) กันดู ก่อนที่เขาจะมาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเป็นเพียงทนายความหนุ่มในแอฟริกาใต้ที่มีวิสัยทัศน์ในการไม่ต่อต้านด้วยความรุนแรง เขาเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเขาสามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกผ่านวิธีการสันติ และอุทิศชีวิตให้แก่ภารกิจนี้

การสมมุติของเขาได้กลายเป็นความจริงของเขาไปในที่สุด เขาได้กลายมาเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้โด่งดังจากคำสอนเรื่องความรัก ความสงบ และการไม่ใช้ความรุนแรง

อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังของกฎแห่งการสมมุติก็คือ เจ.เค.โรวลิง (JK Rowling) นักเขียนชื่อดังระดับโลก

ก่อนที่โลกจะได้รู้จักโลกเวทมนตร์อันน่าหลงใหลของแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้น โรว์ลิงเคยเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่กำลังดิ้นรนและมีชีวิตอยู่ด้วยเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล

ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นแต่เธอก็คิดว่าตัวเองเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ เธอเชื่อมั่นในความมหัศจรรย์ของเรื่องราวที่เธอแต่งขึ้น และความเชื่อมั่นของเธอก็ได้กลายเป็นความจริง เมื่อแฮร์รี่ พอตเตอร์กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ทำให้เธอได้กลายเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ประสบความสำเร็จและมีอิทธิพลมากที่สุดในยุคนี้

ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังของกฎแห่งการสมมุติได้อย่างชัดเจน คานธีและโรว์ลิงนั้นถึงแม้จะมีภูมิหลังและเป้าหมายที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ และเชื่อในสิ่งนั้น

พวกเขาทั้งสองได้ลงมือทำ และในที่สุดความฝันของพวกเขาก็กลายเป็นความจริง เรื่องราวของพวกเขาเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า กฎแห่งการสมมุติจะสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างไร เมื่อเราแสดงพฤติกรรมและดำเนินชีวิตราวกับว่าสิ่งที่เราปรารถนานั้นเป็นของเราแล้ว จิตใต้สำนึกของเราจะทำงานเพื่อทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นความจริงของเรา

บทสรุป

ไม่มีเวลาไหนที่จะดีไปกว่าวันนี้ในการเริ่มฝึกฝนกฎแห่งการสมมุติอีกแล้ว เริ่มต้นด้วยการทำตามขั้นตอนทีละเล็กทีละน้อย สมมุติถึงความรู้สึกเมื่อความปราถนาของคุณสำเร็จลุล่วง เชื่อมั่นในสิ่งนั้น แล้วจักรวาลจะร่วมมือกับคุณเพื่อเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความจริงของคุณ

ขอให้จำไว้ว่า ความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นผ่านทางกฎแห่งการสมมุติมีอยู่มากมายไม่สิ้นสุด จำกัดอยู่เพียงด้วยความเชื่อและจินตนาการของคุณเท่านั้น สำหรับคนที่กระหายอยากที่จะเจาะลึกการฝึกฝนนี้ให้มากขึ้น

หนังสือ “The Power of Awareness” โดย เนวิลล์ ก็อดดาร์ด (Neville Goddard) คือแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยม หนังสือเล่มนี้ได้ให้มุมมองเชิงลึกอันล้ำลึกเข้าไปในธรรมชาติของความเป็นจริงที่ช่วยคุณในการใช้ประโยชน์จากพลังแห่งความคิดและกฎแห่งการสมมุติเพื่อลิขิตชะตาตัวเอง

ในขณะที่เรากำลังจะจบการพูดคุยกัน ขออนุญาตให้ผมได้แบ่งปันความคิดนี้ให้คุณได้นำไปขบคิด สิ่งที่คุณสมมุติว่าเป็นจริงในวันนี้จะเป็นความจริงของคุณในวันพรุ่งนี้ ความจริงอันทรงพลังนี้เน้นย้ำว่าการเดินทางของคุณได้เริ่มต้นขึ้นด้วยการเดินก้าวแรกออกมา ยอมรับและเชื่อมั่นในความสามารถของคุณที่จะทำให้สิ่งที่คุณปรารถนาให้เป็นจริง

จงยึดมั่นกับการสมมุติในเชิงบวก และเป็นสักขีพยานในการที่จักรวาลอันยิ่งใหญ่นำทางคุณไปตามเส้นทางที่มุ่งไปสู่ความฝันของคุณ

ขอให้จำไว้เสมอว่า กุญแจสำคัญในการปลดล็อคศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของคุณนั้นอยู่ภายในพลังแห่งการสมมุติของคุณ

ในขณะที่เรากำลังจะจบการพูดคุยกัน ขออนุญาตให้ผมได้แบ่งปันความคิดนี้ให้คุณได้นำไปขบคิด สิ่งที่คุณสมมุติว่าเป็นจริงในวันนี้จะเป็นความจริงของคุณในวันพรุ่งนี้ ความจริงอันทรงพลังนี้เน้นย้ำว่าการเดินทางของคุณได้เริ่มต้นขึ้นด้วยการเดินก้าวแรกออกมา

จงยอมรับและเชื่อมั่นในความสามารถของคุณที่จะทำให้สิ่งที่คุณปรารถนาให้เป็นจริง ยึดมั่นกับการสมมุติในเชิงบวก และเป็นสักขีพยานในการที่จักรวาลอันยิ่งใหญ่นำทางคุณไปตามเส้นทางที่มุ่งไปสู่ความฝันของคุณ

ขอให้จำไว้เสมอว่ากุญแจสำคัญในการปลดล็อคศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของคุณนั้นอยู่ภายในพลังแห่งการสมมุติของคุณ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *