เราเป็นคนจำกัดความมั่งคั่งร่ำรวยที่เราควรได้แบบไม่รู้ตัวได้อย่างไร

คนเราจะเป็นได้แค่เพียงแค่ยาจก…ตราบใดที่เขายังมีความคิดแบบยาจก

ทำไมต้องใช้ชีวิตไปกับการแสดงลักษณะของคนรับใช้? หากคุณเป็นคนจริง ก็อย่าไปไหนต่อไหนด้วยท่าทางเหมือนขอทาน พูดจาเหมือนขอทาน กระทำตัวเหมือนขอทาน

มีเพียงการคิดถึงความเจริญรุ่งเรืองและความอุดมสมบูรณ์เท่านั้นที่จะนำคุณไปสู่ถึงชีวิตที่มั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ได้

การกำหนดข้อจำกัดให้ตัวเราเองถือเป็นหนึ่งในบาปที่ร้ายแรงที่สุดของมวลมนุษยชาติเลยก็ว่าได้

ความเจริญรุ่งเรืองจะหลั่งไหลผ่านช่องทางที่เปิดกว้างเพื่อรับมันเท่านั้น และความสงสัย ความกลัว และการขาดความมั่นใจ จะเป็นสิ่งที่ปิดกั้นช่องทางเหล่านี้

จิตใจที่คับแคบหมายถึงผลลัพธ์ที่จำกัด ทุกสิ่งที่เราได้รับในชีวิตมาจากประตูแห่งความคิดของเรา หากประตูนั้นคับแคบ ตระหนี่ และขี้เหนียว สิ่งที่จะไหลเข้ามาหาเราก็ย่อมสอดคล้องกัน

คุณจะคิดอย่างไรกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรที่เปี่ยมด้วยความมั่งคั่งและอำนาจอันไร้ขีดจำกัด แต่กลับต้องมีชีวิตราวกับยาจก? เจ้าชายผู้ที่คร่ำครวญถึงชะตากรรมอันโหดร้าย และพร่ำบอกผู้อื่นว่าเขาช่างยากจนเหลือเกิน บ่นว่าเขาไม่เชื่อเลยว่าพ่อของเขาจะประทานสิ่งใด และเขาจำต้องยอมจำนนต่อชีวิตแห่งความยากจนและข้อจำกัด

คุณคงจะบอกว่าเขาเสียสติดไปแล้ว และสภาพความลำบาก ความยากจน และข้อจำกัดของเขานั้นไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเพียงภาพลวงตา มันดำรงอยู่เพียงในจิตใจของเขาเท่านั้น

พ่อของเขายินดีจะมอบสิ่งดีๆทั้งหมดที่ใจเขาปรารถนา หากเพียงเขาจะเปิดใจยอมรับความจริงและใช้ชีวิตให้สมกับฐานะของเจ้าชาย โอรสและรัชทายาทแห่งมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่

ทว่า หากตอนนี้คุณกำลังใช้ชีวิตขัดสน ในสภาพแวดล้อมที่คับแคบจำกัด โดยที่ดูเหมือนจะไร้ความหวัง ไร้โอกาสที่จะพบสิ่งที่ดีกว่านี้ หากคุณไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการทั้งที่ทำงานอย่างหนัก คุณก็โง่เขลาไม่ต่างจากเจ้าชายผู้นั้นเลย ที่เชื่อว่าตัวเองยากจนและดำเนินชีวิตราวขอทาน ท่ามกลางความมั่งคั่งอันไร้ขอบเขตพ่อผู้ซึ่งเป็นถึงราชา

ข้อจำกัดของคุณอยู่ในจิตใจคุณเอง เช่นเดียวกับที่ข้อจำกัดเคยอยู่ในจิตใจของเจ้าชายผู้นั้น

คุณเป็นบุตรของพระบิดาผู้ทรงสร้างความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่งอันไร้ขีดจำกัดให้แก่บรรดาบุตรทั้งหลาย แต่ความคิดที่คับแคบ จำกัด และยากจนของคุณ ได้ปิดกั้นคุณจากความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ และตรึงคุณไว้ในความยากจน

กรรมกรชาวรัสเซียคนหนึ่งนามว่า เม ฮอว์ค (Me Hawk) อาศัยอยู่ในโอมาฮา มลรัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา ได้พก “หินนำโชค” ไว้ในกระเป๋ามา 20 ปีโดยไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีมูลค่าทางการเงิน

แต่ก็มีเพื่อนหลายคนที่คิดว่ามันอาจจะเป็นมากกว่าหินธรรมดาได้แนะนำให้เขาเอาไปให้ช่างอัญมณีตรวจสอบอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ยอมทำ

กระทั่งพวกเพื่อนๆตื๊อหนักเข้าจนเขาทนไม่ไหวต้องส่งหินไปให้ช่างอัญมณีในชิคาโกตรวจสอบ ซึ่งต่อมาได้ยืนยันว่ามันคือทับทิมสีแดงเข้มหายาก (pigeon blood ruby) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หนัก 24 กะรัต มีมูลค่ากว่าหนึ่งแสนดอลลาร์ในสมัยนั้น

มีคนนับล้านที่เหมือนกรรมกรยากจนคนนี้ ที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างขัดสนทั้งวันเอาแต่คิดว่าไม่มีอะไรสำหรับพวกเขาเลยนอกจากการทำงานหนักและความยากจนที่เพิ่มยิ่งขึ้น พวกเขาไม่รู้เลยว่า ภายในจิตใจของพวกเขานั้น แฝงไว้ซึ่งศักยภาพแห่งความมั่งคั่งและมีพลังมหาศาลที่เหนือกว่าความฝัน

ความคิดที่ผิดพลาดเช่นนี้กำลังปล้นมรดกอันล้ำค่า และปิดกั้นเสบียงอันอุดมสมบูรณ์ที่พวกเขามีอยู่แล้วโดยแหล่งกำเนิดแห่งทรัพยากรทั้งหมดอันทรงพลัง

คนส่วนใหญ่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับคนที่ออกไปรดน้ำสวน คือเหยียบสายยางทำให้แหล่งน้ำถูกตัดขาดโดยไม่ได้ตั้งใจ เขามีสายยางขนาดใหญ่ และรู้สึกหงุดหงิดมาก ผิดหวังมากเพราะเขาได้รับเพียงน้ำที่ไหลออกมาหยดเดียว ทั้งที่เขาควรจะได้กระแสน้ำปริมาณมากตามที่คาดหวัง

ต้นน้ำนั้นมีแหล่งน้ำอย่างเหลือเฟือ พร้อมที่จะส่งน้ำมาให้ตามความต้องการของเขาอย่างไม่จำกัด แต่มีสิ่งเดียวที่มีปัญหาคือตัวเขาเองที่กำลังเหยียบสายยางไว้อย่างไม่รู้ตัว ทำให้แหล่งน้ำส่งน้ำมาให้เขาไม่กี่หยดอย่างน่าเวทนา และนั่นก็เปรียบได้กับสิ่งที่คนที่กำลังใช้ชีวิตท่ามกลางความยากจนข้นแค้นกำลังทำอยู่จริงๆ

พวกเขากำลังทำให้ตัวเองมีเสบียงจำกัดด้วยการเหยียบสายยางที่ความมั่งคั่งจะไหลมาถึงตัวพวกเขา

พวกเขากำลังหยุดยั้งกระแสแห่งความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นสิทธิโดยกำเนิด ด้วยการมีความสงสัย ความกลัว และความไม่เชื่อของพวกเขา ด้วยการนึกภาพแต่ความยากจน คิดถึงแต่ความยากจน และทำตัวราวกับว่าพวกเขาไม่คาดหวังที่จะมีอะไรเลย ไม่คิดถึงความสำเร็จอะไรเลย หรือแม้แต่ไม่คิดอยากจะเป็นอะไรซักอย่าง

ทุกสิ่งในจักรวาลนี้ตั้งอยู่บนหลักการและเป็นไปตามกฎของจักรวาล กฎแห่งความเจริญรุ่งเรืองและความอุดมสมบูรณ์นั้นชัดเจนพอๆ กับกฎแรงโน้มถ่วง และแม่นยำพอๆ กับหลักการทางคณิตศาสตร์

มันเป็นกฎทางจิตใจเราสามารถตระหนักถึงชีวิตที่อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งซึ่งเป็นสิทธิโดยกำเนิดของเราได้ด้วยการคิดถึงความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่งเท่านั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชีวิตของคุณ จะมั่งมีหรือยากจนนั้นมันสอดคล้องกับความคิดของคุณ ทัศนคติ หรือจิตใจที่เอาแต่คิดแต่ความยากจนข้นแค้น จะมีแต่ทำให้ชีวิตคุณพบเจอสภาพที่ยากจนข้นแค้นตามที่ใจคิดไว้เท่านั้น แต่ถ้าทัศนคิตและความคิดนั้นคิดถึงแต่ความอุดมสมบูร์ความมั่งมี ชีวิตก็จะพบเจอแต่โอกาส หนทาง และสถานการณ์ที่จะนำพาเราไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยตามที่เราคิดอยู่ตลอด

สรุปแล้วเราล้วนแต่เป็นผลผลิตจากความเชื่อมั่นของเราเอง

  • เราไม่สามารถไปได้ไกลกว่าสิ่งที่เราเชื่อเกี่ยวกับตัวเองและสิ่งที่เราเชื่อว่าเราจะมีได้
  • เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราจะไม่มีวันที่จะแข็งแรงหรือมีสุขภาพดีเหมือนคนอื่น หรือไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต เราก็จะเป็นแบบที่เราคิดอย่างแน่นอน
  • ถ้าเราเชื่อมั่นว่าเราจะยากจนอยู่ตลอด เราก็จะเป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดอย่างแน่นอน
  • คุณไม่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ หากคุณไม่คาดหวังและไม่เชื่อว่าตัวคุณจะร่ำรวยได้

หลายคนที่อยู่ในภาวะยากจนทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปได้เลย ความเชื่อที่เขามีฝังในหัวว่าพวกเขาจะไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองได้ ทำให้พวกเขาติดอยู่ในความยากจน ความเชื่อนี้ทำให้จิตใจของพวกเขาติดลบอยู่เสมอ จิตใจคนเรานั้นไม่สามารถสร้างสรรค์หรือผลิตผลใดๆในสภาวะความคิดที่เป็นลบแบบนี้ได้

มีเพียงจิตใจที่คิดบวกเท่านั้นที่สามารถสร้างความมั่งคั่ง จิตใจด้านลบนั้นไม่สร้างสรรค์ ไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ มันทำได้เพียงแค่ทำลาย ยับยั้ง และขัดขวางสิ่งดีๆ ที่เราปรารถนาเท่านั้น

สิ่งที่คุณทำด้วยจิตใจสำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่คุณทำด้วยมือของคุณเสียอีก

ทุกสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาไม่ว่าจะใช้มือหรือสมองล้วนแล้วแต่มีจุดเริ่มต้นในความคิดก่อนทั้งนั้น จักรวาลเองก็เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของจิตของผู้สร้าง ไม่ว่าคุณจะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรก็ตาม เช่นพระเจ้า พลังจักรวาล หรือจิตแห่งจักรวาล

คนที่ทำงานหนักที่ปรารถนาความมั่งคั่งแต่กลับคิดในทางตรงกันข้าม เขาไม่เชื่อว่าเขาจะร่ำรวยนั้น เขากำลังยับยั้งผลของความพยายามของเขานั้นด้วยความคิดเชิงลบที่ทำลายตัวเอง เขาเหมือนกำลังยืนเหยียบสายยางซึ่งเชื่อมต่อกับแหล่งทรัพย์สมบัติของเขาเองดังตัวอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

เมื่อคุณจำกัดตัวเองด้วยความคิดภายในใจ คุณก็กำลังจำกัดตัวเองในโลกภายนอกด้วยเช่นกัน สิ่งที่ปรากฏภายนอกมันจะสอดคล้องกับทัศนคติภายในของคุณ เพราะมันเป็นกฎที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

(หมายเหตุ: แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่ากฏนี้เป็นจริงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง? ก็ให้ดูตัวอย่างจากคนใกล้ตัว คนรอบข้าง ศึกษาจากชีวประวัติ การสัมภาษณ์ และแสดงความคิดเห็นของคนที่ประสบความสำเร็จนับหมื่นๆแสนๆตัวอย่างจากสื่อต่างๆ จะพบว่าไม่เคยมีคนประสบความสำเร็จและร่ำรวยคนไหนที่เอาแต่บ่นและคลุ่นคิดแต่เรื่องความลำบากความยากจน และก็ไม่เคยมียากจนคนไหนที่ร่ำรวยขึ้นมาได้ในขณะที่ยังคิดแต่เรื่องความยากจนข้นแค้นอยู่ ถึงแม้เขาจะโชคดีถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่เงินเขาก็จะหมดและกลับไปเป็นคนยากจนภายในเวลาไม่กี่ปี)

ลองสังเกตุคนที่ตระหนี่ถี่เหนียวดูสิ (ซึ่งต่างจากการประหยัดมัธยัสถ์นะ) ไม่เพียงแต่เขาจะขี้เหนียวและตระหนี่ในเรื่องเงินเท่านั้นใบหน้าและบุคลิกทั้งหมดของเขายังดูคับแคบ กังวล และเต็มไปด้วยความตึงเครียด เขามัวแต่เก็บเล็กผสมน้อยแบบจิตใจหดหู่ ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถแต่กำเนิดมากแค่ไหนก็ตาม เขาจะคอยจ้องจับแต่เรื่องเล็กๆและไม่เคยทำสิ่งยิ่งใหญ่

ความคิดที่คับแคบและจำกัดก็ทำให้เขาไม่เติบโต แถมยังตัดขาดแหล่งทรัพย์สมบัติของเขาอีกด้วย เขาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เพราะเขาไม่เคยคิดถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่เลย จิตใจที่มีแค่ความจำกัดของเขาจะยอมรับให้มีทรัพย์สินเข้ามาได้แค่หยิบมือแทนที่จะเป็นกระแสความมั่งคั่ง

สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ของเราใช้ชีวิตเหมือนยาจก ไม่เคยได้เห็นแม้เงาของความอุดมสมบูรณ์ ก็เพราะเราไม่เคยเรียนรู้ที่จะใช้พลังความคิดของเราเอง

มรดกอันมหัศจรรย์ที่ส่งต่อมาจากแหล่งทรัพยากรอันไม่สิ้นสุดนี้ กลับถูกความคิดตระหนี่ของเราเองจำกัดไว้ เราจึงมักสงสัยว่าทำไมบางคนที่อยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างกับเรากลับมีชีวิตที่ดีกว่าเราอย่างเห็นได้ชัด ทำไมพวกเขาถึงมักจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ

เราไม่เคยเห็นพวกเขาสวมใส่ของราคาถูก ไม่เคยเห็นของใช้ในบ้านที่คุณภาพห่วยๆ พวกเขามักจะซื้ออาหารที่ดีที่สุด ใช้ของใช้ที่ดีที่สุด และทุกอย่างที่เขามีเขาจะได้แต่ของดีๆ เราคิดว่าพวกเขาฟุ่มเฟือยแน่ๆเมื่อเปรียบเทียบสิ่งที่พวกเขาจ่ายกับสิ่งที่เราจ่ายสำหรับของชนิดเดียวกัน เราภาคภูมิใจในตัวเองว่าเราประหยัด เก็บเงินได้ ในขณะที่พวกเขากำลังใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง

แต่คำถามคือ

  • เราประหยัดจริงหรือ?
  • วิถีชีวิตของเราเปรียบเทียบกับพวกเขาได้อย่างไร?
  • ความสุขที่เราได้รับจากชีวิตนั้นเทียบเท่ากับของพวกเขาได้หรือเปล่า?
  • เงินไม่กี่บาทที่เราประหยัดได้ชดเชยกับสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตเราได้ไหม?
  • การขาดแคลนอาหารที่ดี การขาดแคลนเสื้อผ้าที่เหมาะสม การขาดซึ่งความสุขเล็กๆ น้อยๆ จากการเดินทาง การสังสรรค์ การปิกนิก และสิ่งบันเทิงต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตมีความสุข มีสุขภาพดี และที่สำคัญที่สุด ทำให้ชีวิตมีผลผลิตมากขึ้นไหม?

ความจริงก็คือ ระบบความคิดเรื่องการจำกัดการใช้จ่ายแบบตระหนี่ถี่เหนียวของเราทำให้เราจนลงในท้ายที่สุด

ความมั่งคั่งร่ำรวย ความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต จะไหลผ่านเฉพาะช่องทางที่เปิดกว้างเพื่อรับมันเท่านั้น มันจะไม่ไหลผ่านช่องทางที่ถูกบีบรัดโดยความคิดความเชื่อด้านความยากจน ความท้อแท้ ความสงสัย ความกลัว หรือจากมุมมองที่คับแคบ การใช้จ่ายอย่างใจกว้างมักเป็นการประหยัดที่ชาญฉลาดที่สุด และเป็นสิ่งเดียวที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

ลองคิดดูจะเป็นอย่างไรหากผู้ผลิตทางอุตสาหรรมที่ยิ่งใหญ่เช่น Elon Musk หรือเจ้าพ่ออีคอมเมิร์สผู้ยิ่งใหญ่เช่น Jeff Bezos หรือนักธุรกิจคนอื่นใด สูญเสียวิสัยทัศน์กว้างไกลและมุมมองที่เปิดกว้าง หากพวกเขาเริ่มลดทอนสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ เลือกใช้คนที่ด้อยคุณภาพและให้บริการที่ไม่ดีพอในกิจการของเขา หรืออยู่ๆเปลี่ยนจากนโยบายการบริหารงานที่เคยเปิดกว้าง มาเป็นนโยบายที่คับแคบตระหนี่แบบสิ้นเชิง นี้ธุรกิจของพวกเขาจะหดตัวจนไม่เหลืออะไรเลยในเวลาไม่นาน

คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหลักการพื้นฐานของกฎแห่งอุปทานได้ ไม่ว่าธุรกิจ อาชีพ หรือสถานการณ์ของคุณจะเป็นอย่างไร ทัศนคติทางจิตใจของคุณจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของคุณ

จิตใจที่คับแคบหมายถึงการบอกว่ามีแหล่งทรัพยากรอย่างจำกัด มันหมายถึงการที่คุณพยายามจะดึงทรัพยากรที่มีอันมหาศาลออกมาด้วยเพียงช้อนอันเล็กๆ แล้วคาดหวังว่าจะได้รับทรัพยากรนั้นอย่างล้นหลาม ซึ่งเป็นไปไม่ได้

โปรดจงจำไว้ว่า ทัศนคติทางความคิดของคุณจะเป็นตัววัดว่าคุณจะได้รับทรัพยากรมากน้อยเพียงใด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *