ทำความเข้าใจกฏแห่งจักรวาลเพื่อสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้ตัวคุณเอง

เนื้อหาบทนี้ของเว็บไซต์ sedtee.com หากคุณตั้งใจอ่านและเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง และนำมันไปใช้ในชีวิตประจำวันจะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล

เนื้อหานี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่ากฎแห่งจักรวาลคืออะไร เราจะพูดถึงจุดประสงค์ในชีวิตของคุณ และวางแผนว่าจะดึงดูดสิ่งที่ต้องการเข้ามาในชีวิตโดยใช้ กฎแห่งจักรวาล ที่เรียกว่า กฎแห่งการดึงดูด

เนื้อหานี้จะสื่อสารถึงการมองโลกอีกมุมมองหนึ่งที่แตกต่างไปจากมุมมองการใช้ชีวิตประจำวันที่ผ่านมา ทำให้บางครั้งมันจะฝืนความรู้สึกและขัดกับสิ่งที่คุณได้เรียนรู้มา คุณอ่านๆไปอาจจะรู้สึกว่าน่าเบื่อไร้สาระ หรือต้อต้านมันแบบ 100% ก็เป็นไปได้ แต่ถ้าคุณลองเปิดใจ ลองทำความเข้าใจกับมันก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนความคิด เปลี่ยน Mindset เรื่องการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้ตัวคุณเองแบบไม่รู้ตัว

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราบอกว่าการสร้างความร่ำรวยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการทำงานหนักแบบเลือดตามแทบกระเด็นคุณก็จะมีความรู้จักขัดแย้งทันทีว่า มันจะเป็นไปได้ยังไง นั่งอยู่เฉยๆงอมืองอเท้ามันจะได้เงินได้ทองมายังไง มันก็ต้องทำงานหนักเท่านั้น นี่คือความมุมมองจากชีวิตประจำวันที่เรามีที่ผ่านมา ซึ่งมันก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่งแต่ไม่ทั้งหมด คุณคงไม่ปฏิเสธว่าตัวคุณเองก็เห็นคนร่ำรวยที่ไม่ได้ทำงานหนักเท่าคุณแต่ก็รวยกว่าคุณ แสดงว่ามันไม่ได้อยู่ที่การทำงานหนักเท่านั้นที่จะรวยได้

เนื้อหาจะพูดถึงเรื่องพวกนี้คือ เริ่มต้นสร้างความร่ำรวยภายในจิตใจก่อน แล้วจะสร้างมันยังไงหละ คุณอาจจะถาม ก็ต้องเริ่มจากเพิ่มมุมมองลักษณะเดียวกันที่จะนำเสนอในเนื้อหานี้

ตอนนี้ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่มันได้ผ่านการพิสุจน์มาเป็นร้อยๆพันๆปีแล้วว่าทุกคน (รวมถึงตัวคุณด้วย) มีพลังที่จะดึงดูดแทบทุกสิ่งที่คุณจินตนาการเข้ามาในชีวิตได้ อยู่ที่ว่าคุณจะรู้ตัวและรู้วิธีดึงมันมาใช้หรือไม่เท่านั้นเอง

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ เรามาเริ่มกันเลย

ขั้นตอนที่ 1: เข้าใจกฎแห่งจักรวาล

เพื่อให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีสร้างปาฏิหาริย์ด้วยกฎแห่งจักรวาลให้มากขึ้น สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ทำความเข้าใจปรัชญาของกฎนี้ เรารู้ว่าพลังที่เคยก่อปาฏิหาริย์ในอดีตยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน เพราะกฎนี้ไม่อาจทำลายได้

แต่วันนี้เราถูกสอนให้เชื่อในสิ่งที่เห็นและจับต้องได้เท่านั้น เราไม่ได้รับการสอนว่ายังมีกฎแห่งจักรวาลที่ไร้ขีดจำกัดที่ขับเคลื่อนชีวิตและจักรวาลของเรามาตั้งแต่แรกเริ่ม ยิ่งไปกว่านั้นเราไม่ได้ถูกสอนให้สามารถใช้มันสร้างปาฏิหาริย์ในชีวิตจริงได้

เราต้องพิจารณาองค์ประกอบสองอย่างเพื่อเข้าใจปาฏิหาริย์

  • ประการแรก มนุษย์ทุกคนมีพลังมหาศาลอยู่ในตัว
  • ประการที่สอง พลังนี้เป็นกลางและไม่มีอารมณ์ความรู้สึก

คุณอาจเรียกมันว่า จิตสำนึกจักรวาล (Universal Mind) พระเจ้า ความตระหนักรู้ในพระผู้เป็นเจ้า พลังจักรวาล ธรรมชาติ ฟ้าดิน สิ่งศักสิทธิ์ หรืออะไรก็ตามมีพลังมหาศาลทำให้จักรวาลดำเนินต่อไป

พลังนี้เองที่ทำให้เราเข้าใจพลังชีวิตสากล คนที่เคร่งศาสนาอาจจะเรียกพลังงานนี้ตรงๆว่า ‘พระเจ้า’ พลังชีวิตนี้ยั่งยืนตลอดกาล เป็นส่วนสำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและในตัวเราทุกคน

ดังนั้นเราจึงมีพลังไร้ขอบเขตในการสร้างปาฏิหาริย์ในชีวิต เราต้องเชื่อมต่อกับพลังนี้ เรียนรู้ว่ามันเป็นอย่างไร และใช้อย่างถูกต้อง

คุณสามารถเชื่อมต่อกับพลังนี้โดยยอมรับว่ามันอยู่ในตัวคุณด้วยการกล่าวว่า “ฉันเป็นจักรวาลที่นิรันดร์ เป็นอมตะ และไร้ขอบเขต และสิ่งที่ฉันเป็นนั้นงดงาม

นี่จะเป็นการเชื่อมโยงคุณกับพลังแห่งอดีต และเตรียมพร้อมสู่ขั้นตอนต่อไป คือการพิจารณาคุณลักษณะของกฎแห่งจักรวาล ซึ่งก็คือ ความยุติธรรมและเป็นกลาง กฎนี้ไม่สนใจว่าคุณต้องการอะไรหรือรู้สึกอย่างไร เพราะมันคือพลังงานบริสุทธิ์

พลังความคิดของคุณนั้น เปรียบเหมือนพลังงานที่แผ่ออกไปรอบตัว จักรวาลจะสะท้อนพลังงานนั้นกลับมาหาคุณ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เหมือนกระแสไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างทั้งซ่องโสเภณีและงานเลี้ยงน้ำชาของบาทหลวง กฎแห่งจักรวาลไม่ได้เลือกปฏิบัติ มันตอบสนองต่อพลังงานทุกชนิด เราจึงควรใช้พลังความคิดอย่างชาญฉลาด

ปาฏิหาริย์นั้นแท้จริงแล้วคือเงาสะท้อนของความคิดและอารมณ์ที่คุณมี แม้เราเกิดมาพร้อมจิตใจอันว่างเปล่า แต่เราสามารถคิดและรู้สึกอะไรก็ได้ตามต้องการ เด็กๆ มองเห็นกฎแห่งจักรวาลอย่างบริสุทธิ์เพราะยังไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบของความคิด

พวกเขากล้าทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเด็กๆ ยังไม่รู้ข้อจำกัด พวกเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ว่าอะไรเป็นไปได้หรือไม่ได้ในภายหลัง แต่ข้อจำกัดเหล่านั้นแท้จริงแล้วคือ ‘ความเชื่อ’ ที่มักถูกส่งต่อมาจากคนรุ่นก่อน

คาร์ล จุง นักจิตวิทยาชื่อดัง ได้ตั้งชื่อให้กับรูปแบบความเชื่อที่สืบทอดกันมานี้ว่า ‘จิตไร้สำนึกร่วม‘ (collective unconscious)

ยิ่งเวลาผ่านไป ความเชื่อเหล่านี้ก็ยิ่งดูเหมือนจริงมากขึ้น แนวคิดที่คนรุ่นหลังยึดถือก็จะค่อยๆ แข็งตัวและทรงอิทธิพล ราวกับว่าคนนับพันล้านในอดีตได้กำหนดไว้หมดแล้วว่าคุณจะพบเจออะไรในชีวิต

การยึดติดกับความเชื่อแบบนี้ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ และทำให้เราไม่เข้าใจว่าโลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แนวคิดเดิมๆ กำลังถูกซัดหายไปด้วยคลื่นแห่งความรู้ใหม่ เราไม่อยากแค่ ‘อ่าน’ เกี่ยวกับปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในอดีต

แต่เราอยากให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับเราด้วย แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ การทำเช่นนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะร่างกายและจิตใจฉุดรั้งพวกเขาไว้ การเลี้ยงดูเป็นสิ่งสำคัญมาก มันหล่อหลอมการพัฒนาของเรา และทำให้หลายๆ คนเติบโตทางจิตวิญญาณได้เพียงเล็กน้อย

ขั้นตอนที่ 2: ค้นหาจุดมุ่งหมายของชีวิต

จุดสำคัญของชีวิตคือเราไม่ได้เป็นเพียงร่างกาย ความรู้สึก ความคิด หรือข้อจำกัดใดๆ ที่อยู่รอบตัวเรา จิตวิญญาณของเราแท้จริงแล้วมีจำนวนนับไม่ถ้วนในพลังแห่งจักรวาล เราใช้ร่างกายนี้เพื่อเติบโตทางจิตวิญญาณผ่านการฝึกพิเศษที่เรียกว่า ‘ชีวิตประจำวัน’

ตอนที่จิตวิญญาณของคุณลงมาอยู่ในร่างกายนี้ คุณ ‘เลือก’ ที่จะเกิดมาในรูปนี้ มันคือก้าวต่อไปในการเติบโตอันไร้ขอบเขต และช่วยพัฒนาจิตวิญญาณของคุณ เพื่อขยายพลังแห่งชีวิตที่มีอยู่ในตัวคุณออกไปให้มากยิ่งขึ้น

บางคนอาจมองว่ามันฟังดูเพี้ยนๆ ทำไมต้องเลือกครอบครัวนี้ สังคมนี้ ชุมชนนี้ด้วย? ทำไมไม่เลือกความร่ำรวย รูปร่างที่สวยกว่า หรือสติปัญญาที่เฉียบคมกว่า?

คำตอบนั้นอยู่เหนือระดับของโลกกายภาพ ตอนที่คุณเกิดมา คุณมีภารกิจหรือเป้าหมายยิ่งใหญ่ในใจแล้ว เป้าหมายนั้นถูกบันทึกไว้ในส่วนลึกที่สุดของตัวตน ถึงตอนนี้ตัวคุณอาจจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับตัวเองก็ตาม

แต่รู้ไว้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของการพุ่งไปสู่เป้าหมายนั้น จิตสำนึกของคุณไม่ได้เริ่มบันทึกความคิดและอารมณ์จนกว่าจะได้เกิดมา มันไม่รู้หรอกว่าเป้าหมายยิ่งใหญ่ของคุณคืออะไร หรือไม่รู้ว่ากฎจักรวาลจะส่งผลต่อศักยภาพไร้ขอบเขตของคุณอย่างไร

เหตุผลที่เป็นแบบนี้มีสองข้อ:

หนึ่ง – ถ้าจิตใจและอารมณ์รู้ว่าเป้าหมายนั้นคืออะไร มันก็จะไม่เป็นการท้าทายเป็นการฝึกฝน มันจะทำให้คุณเติบโตได้ช้าลง

สอง – ความเข้าใจเรื่องปรัชญาของคนเรามักจะมาจากศาสนาหรือวัฒนธรรมซึ่งไม่ได้แสดงให้เห็นภาพที่แท้จริงของการทำงานของพลังงาน และวิธีที่มันส่งผลต่อชีวิตประจำวัน จิตไร้สำนึกรวมของโลกนี้ไม่เคยเข้าใจกฎจักรวาลอย่างถ่องแท้ และระบบความเชื่อหลายอย่างเองก็สมมติว่าเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของคุณคือการเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง และยอมรับในตัวตนอย่างเต็มที่ตามแบบฉบับของจักรวาล สมมติอีกว่าคุณเคยมีประสบการณ์มากมายบนโลกนี้ ที่ทำให้คุณอ่อนแอและเคยตัว จากการพึ่งพาหรือรอรับพลังงานจากคนอื่น

แทนที่จะให้พลังออกไปเอง การรู้ตัวเรื่องนี้ล่วงหน้าจะทำให้คุณมีแนวโน้มจะเลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไป ทุกการตัดสินใจจะอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองของคุณ คุณจะคิดและบังคับตัวเองให้เจอสถานการณ์หรือมีความคิดแบบที่คุณต้องการ แต่กลไกของวิวัฒนาการไม่ได้ทำงานแบบนั้น

การต่อสู้กับความอ่อนแอหรือพยายามคิดหาทางเอาชนะมัน ไม่ได้ผลหรอก การละทิ้งความความกลัวต่างหากที่จะทำให้คุณก้าวข้ามมันไปได้ นั่นหมายถึงการรู้ตัวว่านิสัยแบบไหนที่ฉุดคุณลงมา และไม่ช่วยให้คุณรักตัวเองหรือเชื่อมั่นในตัวเอง

จากนั้นคุณค่อยตัดสินใจว่า “ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว” นี่จะเป็นการดึงคุณออกจากความเคยชินของจิตไร้สำนึกรวม แล้วเข้าสู่โหมดของการฝึกฝนและพลัง แม้บางครั้งคุณจะเผลอกลับไปเป็นคนอ่อนแออีกก็ตาม แต่เมื่อคุณเลือกที่จะเข้มแข็ง พลังของกฎจักรวาลจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ

ช่วงแรกๆ มันอาจจะยาก เพราะสมองของคุณเองก็ไม่เข้าใจกฎเหล่านี้ ไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของคุณบนโลก หรือระบบที่ควบคุมศักยภาพของคุณ นั่นทำให้สมองมีแนวโน้มจะพยายามให้คำแนะนำตามเหตุผล ซึ่งตรรกะแบบนี้แหละที่จะทำลายส่วนที่ ‘สร้างปาฏิหาริย์’ ในตัวคุณได้

ขั้นตอนที่ 3: เข้าใจ ‘ความเชื่อ’ และกลไกการสร้างปาฏิหาริย์

ขั้นต่อไปคือพิจารณาความคิดของตัวเอง คุณจะเริ่มเข้าใจวิธีใช้กฎจักรวาลได้ดีขึ้นโดยทบทวนมุมมองและความคิดต่างๆ เป็นเรื่องปกติที่เราจะอยากได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และนี่ทำให้คุณสร้างความเชื่อที่แข็งแกร่งว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เช่น คุณกระโดดได้สูงสุดแค่ไหน หรือวิ่งเร็วได้แค่ไหน ยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็นไป

เครื่องบินโดยสารส่วนใหญ่บินที่ความเร็วประมาณ 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้นทางที่เร็วที่สุดในการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไป โตเกียว คือใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง นี่คือ ‘ข้อเท็จจริง’ ที่ฝังอยู่ในจิตใจของเรา

หากมีคนบอกว่ามีชายคนหนึ่งเคลื่อนย้ายตัวเองได้ในระยะทาง 3,000 กิโลเมตรต่อวินาที ภายในเวลาสั้นๆ สมองคุณจะค้นหาข้อมูลในความทรงจำแต่ไม่พบอะไร ทำให้คุณคิดว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ คุณอาจจะพิจารณาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ

จนสรุปว่ามันเกินขอบเขตความเป็นไปได้ เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์และแม้แต่ตรรกะความคิดที่เรามี ก็มาจากจิตไร้สำนึกรวมเดียวกัน ความจริงที่ว่าผู้คนนับพันล้านไม่รู้ว่าชายคนนั้นเคลื่อนที่ข้ามระยะทาง 3,000 กิในไม่กี่วินาทีได้อย่างไร ก็เลยกลายเป็นข้อพิสูจน์ว่ามันเป็นไปไม่ได้

แต่คนจำนวนมากเข้าใจผิด!

มีมิติที่ซ้อนอยู่บนโลกเรานี่เองที่สิ่งนี้เป็นไปได้ เพียงแต่มีคนน้อยมากที่รู้จักหรือเข้าถึงมันได้ ตัวอย่างเช่นมิติของจิตใจ ในใจหรือจินตนาการคุณสามารถนึกถึงภาพชายคนหนึ่งเดินทาง 3,000 กิโลเมตรในหนึ่งวินาทีได้

การที่คุณจะสร้างปาฏิหาริย์ได้หรือไม่นั้นอยู่กับว่าคุณจะหลุดพ้นจากข้อจำกัดของจิตไร้สำนึกรวมได้ง่ายและเร็วแค่ไหน

พันธะที่ตรึงคุณไว้กับความคิดแบบคนหมู่มากนั่นแหละที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของชีวิต การก้าวข้ามมันต่างหากที่คือเป้าหมายทางจิตวิญญาณของคุณ

ที่จุดหนึ่ง คุณจะตระหนักว่าต้องละทิ้งสิ่งที่คุ้นเคย แล้วก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งความไม่รู้ เพื่อเข้าถึงจิตสำนึกที่สูงขึ้นกว่า นี่คือเหตุผลที่เส้นทางของเหล่าผู้ริเริ่มมักเกี่ยวข้องกับความโดดเดี่ยว

เพราะการทิ้งจิตวิญญาณแบบเดิมๆ ทำให้คุณรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป ระหว่างที่ก้าวไปข้างหน้านั้น มุมมองของคุณจะค่อยๆกว้างขึ้นเพื่อโอบรับตัวตนในระดับที่สูงขึ้น และคุณจะตระหนักว่าสิ่งที่คนอื่นคิดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเติบโตของพวกเขา ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด

ชีวิตเกิดขึ้นผ่านสัมผัสทั้งห้า ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นดวงตาของจิตใจ เราถูกสอนว่าแต่ละประสาทสัมผัสทำอะไรได้บ้าง แต่จริงๆ แล้วแต่ละอันมีความลึกซึ้งเกินกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจ และเมื่อคุณพัฒนาตัวเอง ระดับที่ว่านั้นก็จะเปิดออกให้คุณได้สัมผัส

เช่น เมื่อพูดถึงเรื่องความรู้สึก คุณสามารถ ‘ท่องเที่ยว’ ไปในสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่ปลีกตนจากประสาทสัมผัสด้วยความคิดของคุณ เป็นไปได้ที่คุณจะพัฒนาความรู้สึกที่ลึกซึ้งได้อย่างรวดเร็ว มันอาจไม่คมชัดเท่าการมองเห็นแบบพิเศษ แต่มันลึกล้ำและชัดเจน

มีดินแดนที่ซ่อนอยู่ซึ่งความเป็นไปเป็นแบบอื่น น้อยคนนักที่จะได้สัมผัสพลังงานรอบตัวอย่างเต็มที่ ทั้งในร่างกาย ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ความคิดของคุณ สภาพแวดล้อมที่คุณอยู่ และเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต

ทุกอย่างล้วนแสดงพลังงานออกมา พลังงานบางส่วนรับรู้ได้ด้วยประสาททั้งห้า แต่ส่วนมากมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เมื่อคุณเปิดรับพลังแห่งกฎจักรวาล และฝึกฝนจิตใจให้มีสมาธิ มีวินัย คุณจะได้เรียนรู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกเป็นตัวช่วยสำคัญในการดำเนินชีวิต

ก่อนจะเข้าสู่สถานการณ์ใดๆ ให้ ‘ผลัก’ อารมณ์ของคุณออกไปสัมผัสมันล่วงหน้า มันให้ความรู้สึกอย่างไร กฎจักรวาลบอกอะไรคุณ ชิ้นส่วนไหนของเหตุการณ์นั้นขยับได้ แล้วอะไรที่นิ่งอยู่กับที่

เมื่อฝึกฝนสักระยะ วิธีนี้จะแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ คุณอาจจะยังมองไม่เห็นพลังงานละเอียดรอบตัว แต่คุณจะเรียนรู้ที่จะ ‘รู้สึก’ ถึงมันได้ ในไม่ช้าคุณจะสังเกตเห็นว่ากฎจักรวาลมีวิธีโผล่พรวดออกมาให้คุณรับรู้ผ่านเหตุการณ์ในชีวิต สิ่งต่างๆจะดูดซับพลังงานไว้ และคุณจะสัมผัสพลังงานนั้นได้ตั้งแต่เป็นสัปดาห์หรือบางทีเป็นปี

ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ วิทยาศาสตร์บอกว่าการรู้ล่วงหน้าเป็นไปไม่ได้ และคนที่เชื่อแบบนั้นก็ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณก้าวพ้นกรอบความคิดแบบคนหมู่มาก คุณจะมีความสามารถในการเห็น รู้สึก หรือแม้แต่ได้ยินล่วงหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ

เพื่อดึงประโยชน์จากกฎจักรวาลให้ได้มากที่สุด คุณต้องสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณในชีวิต จากนั้นเชื่อมโยงแต่ละเหตุการณ์เข้ากับความคิดและอารมณ์ที่คุณมีตอนนั้น เวลาที่ชีวิตราบรื่น มันเป็นเพราะคุณส่งคำสั่งนั้นผ่านความคิดออกไปยังกฎจักรวาลและมันก็ตอบสนอง ให้คิดว่ากฎจักรวาลเป็นเหมือนพนักงานส่งสินค้าของบริษัทที่ขายของผ่านทางไปรษณีย์

เขาได้รับคำสั่งของคุณ แต่เขาไม่รู้จักคุณเป็นการส่วนตัว เขาจะส่งของตามขนาดที่เขียนในใบสั่งเท่านั้น เขาทำตามที่คุณร้องขอ และไม่สนใจว่าของนั้นจะพอดีกับคุณหรือไม่ ในชีวิตจริง อารมณ์ ความคิด และการกระทำในแต่ละวัน คือใบสั่งซื้อสินค้าของคุณ

ดังนั้นคุณต้องรู้ชัดเจนว่าคุณต้องการอะไร ก่อนที่จะคิดเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ กฎจักรวาลจะตอบสนองแบบคลุมเครือหากคำสั่งของคุณไม่ชัดเจน คุณต้องเขียนให้ชัดเจน และเปิดใจรับสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง แม้ว่านั่นจะเป็นการถูกรางวัลใหญ่ก็ตาม

ลองนึกภาพว่าคุณถูกรางวัลใหญ่ คุณอาจจะลาออกจากงาน แล้วใช้เวลาที่เหลือไปนอนอาบแดดสบายๆ คุณหลงใหลในภาพฝันถึงเงินก้อนโตนั้นแล้วพูดว่า “คงจะดีไม่น้อย” แต่นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ หรอ? คุณอาจจะเบื่อหน่ายได้อย่างรวดเร็ว หัวใจของคุณอาจจะกระซิบเตือนว่า “ฉันควรจะอยู่ที่เดิม ยังมีโอกาสและความเป็นไปได้อีกมากมายอยู่”

การสร้างพลังงานตามกฎแห่งจักรวาลต้องมากกว่าแค่การหวังว่าสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้น คุณต้องเข้าใจว่าคุณมีอำนาจนั้นอยู่ในมือ สิ่งที่คุณสร้างขึ้นจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของคุณเสมอ ทันทีที่คุณก้าวแรกไปในทิศทางที่ต้องการ

มันอาจจะไม่ตรงกับภาพในหัวคุณเป๊ะๆ แต่คุณต้องพร้อมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ก่อนที่จะเริ่มแผนปฏิบัติการแห่งปาฏิหาริย์ของคุณ ควรจะใช้เวลาคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆ หรือสถานการณ์ที่คุณปรารถนาให้ดีเสียก่อน กฎจักรวาลเปรียบเสมือนพนักงานส่งสินค้าที่รอคำสั่งซื้อของคุณให้ชัดเจน สิ่งที่จะใช้ชำระค่าส่งคือ ‘ความเชื่อมั่น’

การมีไอเดียว่าสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว หรือสถานการณ์ที่คุณปรารถนาได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้ว เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง ความเชื่อมั่นนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ท้าทาย เพราะจิตใจของคุณจะโต้แย้ง มันไม่เข้าใจกลไกของกฏจักรวาล

ร่างกายของคุณบอกว่า “ฉันรวยแล้ว!” แต่สมองของคุณบอกว่า “เปล่าเลย” ความขัดแย้งภายในนี้สร้างความสับสนให้กฎจักรวาล ซึ่งกำลังจะมอบสิ่งที่คุณต้องการให้ ทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จต้องรับมือกับการปะทะของสองขั้วนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร

ตำนานเล่าถึงการตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ หรือการสังหารมังกร ซึ่งมีความหมายว่าไม่มีใครจะเข้าสู่ ‘อาณาจักรสวรรค์’ ภายในตัวเราได้ จนกว่าจะฝึกฝนเชื่องมังกรแห่งความคิดด้านลบที่เราได้รับมาจากจิตไร้สำนึกรวมได้สำเร็จ

ในแง่หนึ่งคุณจะต้องละทิ้งโลกิยะ แม้ว่าร่างกายคุณอาจจะยังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ระหว่างคุณกับดวงดาวไม่ได้มีสถานที่ใดๆ เหลืออยู่แล้ว มิติต่างๆ มิติการเดินทาง หรือสถานที่พิเศษต่างๆ แท้จริงแล้วอยู่ภายในตัวเรา การเดินทางภายในนั้นสะท้อนถึงความจริงบางอย่าง และความจริงนั้นมีภาพสะท้อนที่เห็นได้ในโลกภายนอก

พูดอีกอย่างคือ ทุกสิ่งที่คุณนึกคิดได้ มีอยู่ในตัวคุณแล้ว ไม่สำคัญว่าคุณจะมีมันในครอบครองอยู่ตอนนี้หรือไม่ ทุกอย่างที่คุณจินตนาการ กำลังค่อยๆ กลายเป็นจริง คุณอาจเริ่มลองรู้สึกว่าร่ำรวย คิดอย่างร่ำรวย และวางตัวแบบคนร่ำรวย พูดสิ่งที่คุณมี

ลองเข้าร้านหรูๆ จิบกาแฟในโรงแรมชั้นเลิศของเมือง และทำตัวให้กลมกลืน เสมือนว่าคุณมีทรัพย์สมบัติมหาศาลอยู่แล้ว กฎจักรวาลเตรียมมอบมันให้คุณอยู่แล้ว ด้วยวิธีนี้ คุณกำลังบ่มเพาะความร่ำรวยให้เป็นความจริงในการเดินทางภายใน และมันจะปรากฎชัดในโลกภายนอก การเดินทางภายนอกของคุณในที่สุด ความปรารถนาของคุณจะเป็นจริง หากคุณรักษาความรู้สึกนั้นเอาไว้ได้

คุณต้องทุ่มสุดตัว เพื่อมีชีวิตราวกับว่ากฎจักรวาลได้มอบพรที่คุณต้องการให้แล้ว ความลังเลครึ่งๆ กลางๆ จะทำให้พลังคุณหายไปและสิ่งที่คุณหวังก็จะไม่เกิดขึ้น หากในอดีตคุณเคยทำร้ายผู้อื่น นั่นแสดงว่าคุณกำลังฉุดรั้งการพัฒนาตัวเองด้วยการปล่อยพลังชีวิตเปล่าประโยชน์ คุณต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่เส้นทางที่จะพาคุณไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด นั่นคือพลังแห่งกรรมของคุณ

แต่คุณก็ไม่ควรไปตัดสินผู้อื่นเช่นกัน เพราะพลังงานที่คุณรับรู้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายสูงสุดของพวกเขา นั่นหมายถึงคุณไม่สามารถมั่นใจว่ากรรมแบบไหนที่จำเป็นต่อการเติบโตของพวกเขา

ณ จุดนี้ของวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ ไม่มีใครผิดพลาดหรือเป็นเหยื่อ ทุกคนต่างมีหน้าที่ในการพัฒนาตัวเอง เราหยิบเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตมาเรียงลำดับเพื่อหาความหมายและเรียนรู้ หากชีวิตเปรียบเสมือนถ้วยกาแฟที่แตกสามใบ นี่คือวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์ จากการทำผิดพลาดและหาบทเรียนจากมัน

ชีวิตที่คุณกำลังใช้ตอนนี้เป็นของคุณเอง คุณอาจมีความสัมพันธ์ มีคนที่รัก แต่ท้ายที่สุด การเติบโตของคุณ ขึ้นอยู่กับว่าคุณสร้างมันขึ้นมาแบบไหน เคลื่อนไหวผ่านมันอย่างไร เราทุกคนล้วนเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเอง และตามกฎจักรวาล คุณไม่ควรรับผิดชอบการเติบโตของคนอื่น มันอาจฟังดูโหดร้าย

แต่กฎนี้ยุติธรรมและชัดเจน ความทุกข์ยากจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะมันบีบให้คนเราแสวงหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตประจำวัน เชื่อมโยงพวกเขากับแก่นแท้ภายในตนเอง ยามที่สิ้นหวังคือช่วงที่เราเริ่มดึงพลังไร้ขอบเขตออกมาใช้

นี่คือช่วงที่เราเข้าใจว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ ความเจ็บปวดเกิดจากภายใน และเราจะเปลี่ยนแปลงภายในได้ด้วยการหันไปเผชิญหน้ากับมัน มีคำกล่าวว่า สิ่งเดียวที่รักษาไม่ได้คือ ‘ตัวคน’ ไม่ใช่ ‘โรคภัย’ และตามกฎจักรวาล นั่นเป็นความจริงของพลังงานทุกชนิด

การแก้ไขปัญหาภายนอกเพียงผิวเผินจะไม่ช่วยอะไรในระยะยาว เพราะปัญหารากเหง้าจะยังคงปรากฎตัวในรูปแบบอื่น คุณต้องหาต้นตอจากภายในเพื่อจะดับปัญหานั้นได้อย่างสิ้นเชิง เมื่อความรู้ของคุณเพิ่มขึ้น พลังงานที่จะใช้สร้างสิ่งต่างๆ ที่คุณปรารถนาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ขั้นตอนที่ 4: สร้างแผนปาฏิหาริย์

ที่เราเรียกแผนนี้ว่าแผนปาฏิหาริย์เพราะแผนการที่จะทำออกมานั้นจะทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นกับตัวคุณแบบที่คุณไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย แต่มันจะเกิดขึ้นง่ายจนคุณจะบอกว่านี่มันปาฏิหาริย์จริงๆ งั้นเรามาเริ่มกันเลย

  1. เขียนลงบนกระดาษว่าคุณต้องการอะไรและต้องการอย่างไร เรียงลำดับตามความสำคัญ อย่าฟังเสียงในหัวมากนัก มันรู้ได้แค่บางเรื่อง ให้ตั้งเป้าหมายให้สูงไว้และอย่ามองข้ามอะไรไป คุณสามารถปรับเปลี่ยนรายการนี้ได้เรื่อยๆ จนกว่าจะลงตัว แต่ต้องแน่ใจว่าคุณรู้จริงๆ ว่าตัวเองต้องการอะไร เวลาอธิบายสิ่งที่อยากได้ ให้ใช้ภาษาที่กระชับและชัดเจน ระบบนี้จะทำงานก็ต่อเมื่อคุณชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไร
  2. อ่านรายการวันละสามครั้งตอนตื่นนอน ตอนกลางวัน และก่อนนอน นึกถึงปาฏิหาริย์ของคุณบ่อยๆ และเชื่อมั่นว่ากฎจักรวาลรับคำสั่งของคุณแล้ว และกำลังเตรียมมอบมันให้
  3. เก็บเรื่องเป็นความลับ การพูดพร่ำเพรื่องถึงเรื่องปาฏิหาริย์จะทำให้พลังงานรั่วไหล นอกจากนั้นยิ่งจะทำให้ตัวเราเองหมดกำลังใจหากคนที่เราให้ฟังดูถูกและวิจารณ์แผนการของเราในแง่ลบ เพราะฉะนั้นอย่าเล่าให้ใครฟังจนกว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ
  4. คิดและลงมือทำเสมือนว่าปาฏิหาริย์เป็นจริงแล้ว เริ่มลงมือทำทันทีแม้จะเป็นแค่การเริ่มต้นแบบเล็กๆ
  5. เปิดใจยอมรับการนำทางจากพลังแห่งความไม่สิ้นสุด ที่จะค่อยๆ เผยเส้นทางไปสู่เป้าหมายของคุณ จำไว้ว่ากฎจักรวาลทำงานควบคู่กับโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่ปรารถนาอาจมาจากแหล่งที่คาดไม่ถึงก็ได้ เพราะฉะนั้นจงอย่าปิดกั้นตัวเอง เปิดใจและพร้อมปรับเปลี่ยน
  6. มอบรอยยิ้มและพร้อมรับกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น ปาฏิหาริย์แรกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

ขั้นตอนที่ 5: เรียนรู้เกี่ยวกับพลังงาน

อย่าเสียเวลาคิดว่ากฎจักรวาลจะทำให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะสมองเราไม่อาจเข้าใจกลไกนั้นได้ จำไว้ว่าแนวคิดของคุณควรเติบโตอย่างช้าๆ เหมือนลูกโอ๊กที่จะกลายเป็นต้นโอ๊กขนาดใหญ่

ต้นไม้ของคุณจะตายหากขุดมาดูบ่อยๆ ว่าเติบโตไปถึงไหนแล้ว เลี่ยงความกังวลให้ได้มากที่สุด จงเชื่อมั่นว่ากฎจักรวาลจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เพราะทุกสิ่งบนโลกนี้คือพลังงาน สิ่งของต่างๆจับต้องได้ก็เพราะโมเลกุลและอะตอมที่ประกอบกันขึ้นนั้นเคลื่อนไหวด้วยความเร็วระดับเดียวกับแสง

มันทั้งเป็นของแข็งและไม่ใช่ของแข็งในเวลาเดียวกัน ในโลกของความคิด รูปแบบของความคิดก็ทำงานในแบบเดียวกัน มีอยู่จริง แต่เพราะไม่ถูกจำกัดด้วยมิติทางกายภาพ มันเลยยิ่งทรงพลังกว่าสิ่งที่จับต้องได้เสียอีก

คุณไม่อาจจะแยกแยะและเข้าใจความหมายของความคิดอย่างถ่องแท้ คุณต้องเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ปล่อยให้ความตื่นเต้นและความเชื่อมั่นพัดพามันไป คุณคือผู้ให้พลังงานแก่กฎจักรวาลและบอกให้มันทำหน้าที่ของมัน

จงพยายามรักษาความคิดให้บริสุทธิ์และมุ่งตรงทางอยู่เสมอ ถ้าความกังวลเริ่มแทรกซึม อย่าปล่อยให้มันครอบงำนานเกินไป เมื่อคุณตั้งคำถาม จงมองจากมุมที่สูงกว่าและตระหนักว่านั่นเป็นเพียงใจที่กำลังกังวล ไม่ใช่ความเข้าใจ ที่มันกำลังทำคือบ่นและหาเรื่องกับความไม่รู้ของตัวเอง เมื่อไรก็ตามที่คุณใช้พลังนี้ สิ่งที่คุณลงมือทำจะต้องเกิดขึ้นทุกครั้งที่คุณใช้มัน

พลังงานภายในตัวคุณนั้นทรงพลัง จะนำทางและดึงดูดคุณเข้าสู่การผจญภัย สู่ความตื่นเต้นที่เกินกว่าคุณจะจินตนาการได้ แต่จงเก็บงำความลับนี้ไว้ อย่าเล่าให้ใครฟังถึงวิธีการของคุณ จิตวิญญาณของชีวิตสถิตย์อยู่ในทุกสิ่งรอบตัว เพียงแต่ในปริมาณที่ต่างกันออกไป มันปรากฏเด่นชัดในสิ่งมีชีวิตมากกว่าสิ่งไม่มีชีวิต

แต่ทุกอย่างต่างก็มีพลังงานนั้น ยิ่งคุณเชื่อมโยงกับกฎจักรวาลภายในได้มากเท่าไร คุณจะยิ่งเชื่อมโยงกับโลกภายนอกได้มากขึ้นเท่านั้น คุณจะมองเห็นทุกสิ่งเป็นสัญญาณ เป็นแหล่งพลัง โลกรอบตัวจะคอยช่วยเหลือคุณ และยิ่งคุณมีความ ‘สมบูรณ์’ มากเท่าไร คุณจะยิ่งดึงพลังจากแหล่งต่างๆ ได้มากขึ้นเท่านั้น

มีเรื่องเล่าในหนังสือเล่มหนึ่งว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินบนถนนวันหนึ่งด้วยความสับสน ว่าควรทำอะไรกับชีวิตดี เธอถึงจุดทางแยกทั้งในความหมายที่จับต้องได้และเป็นนัยยะ เธอรู้สึกเหมือนชีวิตแบนราบและเฝ้ารอคำแนะนำจากกฎจักรวาล

ขณะที่กำลังจะก้าวลงจากขอบทาง รถคันหนึ่งก็เกือบพุ่งเข้าชนเธอ เมื่อรถคันนั้นเลี้ยวหัวมุมอย่างรวดเร็ว หนังสือเล่มหนึ่งตกออกมาจากท้ายรถ หนังสือ “Man’s Search for the all powerful God” เล่มนั้นเปลี่ยนชีวิตเธอ

หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ออกจากเมือง เดินทางสู่เส้นทางใหม่ที่ยกระดับจิตวิญญาณของเธอ พาเธอไปสู่ประเทศต่างๆ และความสัมพันธ์ ที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน หนังสือเล่มนั้นคือบทเรียนพิเศษจากกฎจักรวาล และเธอพร้อมที่จะเรียนรู้เพราะเธอประสานเข้ากับมันได้แล้ว

ระหว่างที่คุณตั้งเป้าหมายสู่ปาฏิหาริย์ของคุณ ควรจะใส่ใจกับทุกสัญญาณและความเปลี่ยนแปลงรอบตัวให้ดี กฎจักรวาลจะสื่อสารกับคุณ ดูเหมือนว่ายิ่งคุณเชื่อมั่น มันจะยิ่งปรากฏตัวให้เห็นมากขึ้น และเรื่องราวแปลกๆ จะเริ่มเกิดขึ้น

เมื่อพลังงานของคุณเพิ่มสูงขึ้น โอกาสก็จะปรากฎชัดราวกับจุกขวดลอยบนผิวน้ำ นั่นแหละคือตอนที่คุณจะรู้ว่าพลังนี้เป็นของคุณอย่างแท้จริงจริง มากกว่าสิ่งอื่นใด

การเชื่อมโยงนี้จะช่วยให้ความฝันของคุณเป็นจริงขึ้น แต่มีกฎอีกด้านหนึ่งที่ต้องไม่ละเมิด เพื่อที่กฎจักรวาลจะสร้างปาฏิหาริย์ให้คุณต่อไป การเฝ้าสังเกตชีวิตตัวเองจะทำให้คุณเก่งเรื่องการอ่านสัญญาณต่างๆ คุณจะตระหนักว่าคุณคือคนเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ทุกอย่างรอบตัวคุณล้วนมีพลังงาน เสื้อผ้าที่สวมใส่ คำพูดที่ใช้ คนที่คุณคบหา อาหารที่ทาน และสถานที่ที่ไปล้วนสะท้อนถึงกฎที่บอกว่า ‘คุณเป็นสิ่งที่คุณเป็น’ กุญแจสำคัญสู่การเติบโตทางจิตวิญญาณ คือการใส่ใจกับคำพูดเหล่านี้ และสร้างความประสานกลมกลืนระหว่างตัวคุณกับโลกภายนอก

สิ่งที่คุณเป็นนั้นมีอานุภาพมาก พลังงานของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณของจิตวิญญาณอันมีชีวิต (หรือพลังแห่งจักรวาล) ที่คุณแสดงออก หากคุณตั้งใจทำงานกับมัน รับผิดชอบต่อตัวเอง และมีพลังมากขึ้น คุณสามารถคาดหวังสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าจากชีวิตได้

ลองจินตนาการว่าคุณอยากทำงานในสายงานพิเศษและต้องทำให้แน่ใจว่าตัวเองมีพลังงานสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ สมมติว่าคุณมีสัมภาษณ์งานที่อยู่ในลิสต์ปาฏิหาริย์ของคุณ และตอนนี้กฎจักรวาลได้เปิดประตูให้คุณแล้ว คุณมีโอกาสใกล้จะคว้าไว้ได้ ตั้งรณถึงปาฏิหาริย์นั้นซ้ำๆ วาดภาพตัวเองได้งานนั้นจนกระทั่งถึง 72 ชั่วโมงก่อนถึงเวลาสัมภาษณ์ ช่วงสามวันนั้นไม่ต้องกังวลถึงมัน

พอถึงวันสัมภาษณ์ ตื่นแต่เช้า ใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการโต้เถียงกับผู้อื่น บอกกับกฎจักรวาลว่าคุณพร้อมและเปิดใจรับปาฏิหาริย์ที่คุณร้องขอมาแล้ว งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรืองดสารเสพติดที่ทำให้คุณอ่อนเพลีย ทานอาหารเบาๆ

กฎจักรวาลจะแสดงตัวออกในรูปแบบใหม่หลหลายและสร้างสรรค์ หากคุณทานอาหารหนักๆ พลังงานของคุณจะลดลง และกฎจักรวาลในตัวคุณจะสื่อสารออกมายากลำบาก หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และเน้นผักผลไม้และอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ในปริมาณน้อย

ผ่อนคลายสักครู่ก่อนไปสัมภาษณ์ นึกถึงเหตุการณ์ที่ราบรื่นและเป็นไปในทางบวก หากคุณรู้จักคนที่คุณต้องพบอยู่แล้ว ให้จินตนาการพวกเขายิ้มแย้มอย่างมีความสุข และเปิดรับพลังงานของคุณ มองเห็นการสัมภาษณ์ดำเนินไปด้วยดี มองเห็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

ขั้นตอนที่ 6: รู้ว่าเวลานี้คือเวลาไหน

ในโลกของกฎจักรวาลไม่มีคำว่า ‘เวลา’ สิ่งต่างๆ ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างมั่นคง ต้นไม้ไม่รู้จักว่าเวลาคืออะไร เพราะมันสร้างขึ้นจากสสารที่ไม่มีวันหมดสิ้น มันเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเร้าอย่างความร้อนจากดวงอาทิตย์

แต่มิใช่เพราะเปลี่ยนตาม ‘เวลา’ มันค่อยๆ งอกจากเมล็ดเล็กๆ จนกลายเป็นต้นใหญ่เต็มวัย กฎจักรวาล ก็เช่นเดียวกัน มันสามารถทำงานได้ทันที แต่หากพลังภายในของคุณอยู่ในระดับต่ำ คุณอาจรู้สึกว่าต้องใช้เวลานานกว่ามันจะเกิดผล

คุณต้องมีความอดทนและมุ่งมั่นจนกว่าจะไปถึงเป้าหมาย เพราะความคิดของคุณจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ลองเปลี่ยนเส้นทางหากรู้สึกว่าทางใหม่โผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัว ระหว่างที่คุณมุ่งไปยังปาฏิหาริย์หนึ่ง กฎจักรวาลทำงานในวิธีที่ลึกลับ และสิ่งคุณคิดว่าเป็นอุปสรรค อาจจะเป็นเพียงแค่จักรวาลกำลัง ‘บอก’ อะไรคุณบางอย่าง

เป็นไปได้ยากที่จะคาดเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพลังงานของคุณอยู่ในแนวสอดคล้องกัน คอยสังเกตสัญณาณต่างๆ และปล่อยให้สัญชาติญาณนำทางการตัดสินใจของคุณ หากหลังจากนั้นแล้วยังคงลังเล อย่าเพิ่งลงมอทำอะไร

คุณจะรูได้ในทันทีหากเส้นทางนั้นใช่สำหรับคุณ หากการตัดสินใจดึงคุณเข้าหาสถานการณ์ที่ยุ่งยากลำบาก มักจะเป็นสัญญาณว่าคุณควรเลี่ยงเส้นทางนั้นเสีย

คุณจะรู้ทันทีหากกฎจักรวาลตอบรับ ในช่วงเริ่มต้นของลิสต์ปาฏิหาริย์นั้น ให้ตั้งจากการขอสิ่งที่เรียบง่ายก่อน จากนั้นเมื่อคุณรู้สึกถึงการตอบรับของกฎจักรวาล และสัมผัสถึงพลังแห่งความสำเร็จที่ห่อมล้อมตัวคุณ นั่นคือตัวเสริมแรงที่ดีมากๆในตัวมันเอง

ทุกครั้งที่ลังเลใจกับลิสต์ของคุณ ใช้เวลาสักครู่ระลึกถึงว่าปาฏิหารย์อันก่อนๆ สำเร็จลุล่วงได้ดเพียงใด การมองเห็นความสำเร็จนั้นจะช่วยเสรมสร้างความเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง จากนั้น เมื่อทำปาฏิหาริย์สำเร็จแล้วครั้งหนึ่ง

คุณจะรู้สึกร้อมสำหรับการก่าวไปส่สิ่งอื่นต่อไป สู่การทำความรู้จักกับพลังที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณเอง

ขั้นตอนที่ 7: รู้ว่าคุณมีพลังมากแค่ใหน

ในขั้นตอนสุดท้ายนี้ เราจะมาคยกันถึงวิธีสรางพลังงานอันแกร่งกล้ารอบตัวคุณ ในห้วใจคุณจะมีความคิดด้านลบที่ทำให้คุณคิดว่าปาฏิหาริย์นั้นจะไม่อาจเกิดขึ้นได้

เพราะฉะนั้นคุณต้องคยหมั่นขจัดความคิดลังเลเหล่านี้ออกไปให้ไกลหากคุณต้องการสำเร็จผลอย่างสมบูรณ์ อย่าปล่อห้พลังงานที่ตรงข้ามกับเป้าหมาขของคุณเข้ามามีอิทธิพลต่อคุณ ย้ำเตือนตัวเองว่าคุณไม่ใช่ความคิดของคุณ

ด้วยวิธีนี้คุณจะทำให้การยืนยันเชิงบวกกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เขียนประโยคที่แสดงความเชื่อมันในตัวเองและความปรรงการที่จะมีชีวิตที่มีความสุถเก้นี้ เขีวนออกมาด้วยภาษาของตัวเอง

ประโยคเหล่านี้จะมีสามบทสำหรับตอนเ้า สามบทสำหรับตอนกลางวน และอีกสามบทสำหรับตอนคน ผ่อนคลายตัวเองก่อนเริ่มดูลิสต์ปาฏิหาริย์ ค่อยๆจัดระเบียบความคิด แล้วจึงค่อยๆอ่านมนต์ในใจของคุณ

จดจ่ให้ดีกับคำพูดที่เอ่ยไป และให้แนใจว่าทุประโยคมีความหมายอย่างไรสำหรับคุณ พลังอันทรงอานุภาจะหลั่งไหลมาจากสิ่งที่คุณเชื่อศรัทธา คุณสามารถนำตัวอย่างประโยคเหล่านนี้ไปตอดยดได้

  • ฉันคือบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยพลังอานาจเชิงบวก และทุกเหตุการณในวนนี้คือเพรเพื่อประโยชนสูงสุดของฉัน
  • สิ่งที่ฉันเป็นนั้นงดงาม และฉันดึงดุดเฉพาะแต่สิ่งงดงามและสดชื่นเข้ามาในวนนี้
  • วนนี้คือวนแห่งความสมดุล ฉันรู้ตัวตอร่างกายของตนเองและความต้องการทุอย่างของร่างกายดีเป็นอย่างยิง
  • สิ่งที่ฉันเป็นนั้นเป็นนิจ อมตะ สารพัดประโยชน์และไร้ขอบขอบจดสิ้น
  • ฉันเห็นแต่ความงามและความเข้มแข็งในุกๆ ช่วงเวลของชีวิตตน
  • ฉันเห็นแต่ความงามในผู้อ่นที่ถูกดึงดูดเข้าหาฉัน และสิ่งที่ฉันเป็นจะไปเสรมสร้างและเติมคอมสิ่งที่พวกหล่านั้นเป็น
  • สิ่งที่ฉันเป็นนั้นไร้ทีสิ้น ฉันไม่ตัดสินวิวัฒนาการของผู้อน
  • สิ่งที่เขาเป็นตอนนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา
  • ทุกการกระทำของฉันในวันนี้คือการแสดงออกของพลงแห่งจักรวาล ฉะนั้นทุกการกระทำของฉันคือส่วนหน่งของความไร้ที่สิ้นของฉัน
  • บาปบุณที่แท้จริงนั้นไม่มี มีเพียงแต่พลังงานเท่านั้น
  • ฉันดำเนินตามพลังงานของตัวตนขั้นสูงของตนอยู่เสมอ ขอให้เป็นเช่นนั้นเทอญ
  • ฉันพร้อมรับการสื่อสารจากจิตใต้สำนกภายในของตนเสมอ และการสอสารนันจะนำฉันไปสู่วิวัฒนาการขั้นสูงของตน
  • ขอบคุณสำหรับความงดงามในวันนี้

มนต์ที่คุณกล่าวเปรียบได้กับฟืนกิ่งเล็กๆ ในกองไฟ ทันทีที่ตื่นนอน คุณจะรู้สึกถึงความเหนื่อยล้า พลังงานนั้นจะคงอยู่นานตราบเท่าที่คุณยังย้ำเตือนตัวเองด้วยมนต์อยู่ ใช้เวลาสักครู่เพ่งความสนใจไปยังพลังในตัวคุณ และการที่คุณเป็นส่วนหนึ่งกับทุกสิ่ง

แล้วจึงค่อยดำเนินชีวิตต่อไป หากคุณกำลังจะมีปากเสียงกับใคร ให้เวลาตัวเองสักครู่เพื่อเรียกพลังกลับคืนมาก่อน ตรวจสอบให้ดีว่าคุณมีพลังเหลือเฟือก่อนก้าวออกไปข้างนอกระหว่างวัน ปกป้องความเข้มแข็ง ความสมดุล และรักษาชีวิตให้อยู่ตรงกึ่งกลาง ไม่มีสิ่งร้ายใดจะเกิดขึ้นกับคุณได้

คุณจะไปเยือนยังสถานที่ที่คนรู้จักน้อย จงทำให้วันนี้เป็นอย่างที่คุณปรารถนา ฉันมองเห็นมันดำเนินไปอย่างราบรื่นแล้ว มองทุกคนที่คุณพบเจอในฐานะคนดีที่เปิดใจรับพลังงานของคุณ วาดภาพวันนี้ให้เป็นไปอย่างราบรื่นและลื่นไหล นึกว่าตัวคุณเองได้เติบโตขึ้นจากทุกประสบการณ์ ก่อนออกสู่โลกภายนอก

จินตนาการถึงแสงสีขาวของจิตวิญญาณมีชีวิตห่อหุ้มอยู่รอบตัว นี่คือเกราะป้องกันที่จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น พึงรู้ไว้ว่าแสงสีขาวจะยิ่งเจิดจ้าขึ้นเมื่อคุณเชื่อมั่นในตัวเอง มันจะปก้องกันคุณ และในแต่ละวันคุณควรเติมพลังงานให้นี้แก่แสงสีขาวโดยจินตนาการว่ามันสว่างสดใส เข้มแข็ง และย้ำเตือนตนเองว่าคุณคือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณมีชีวิตนั้น (หรือจักรวาล) และทุกช่วงเวลาในชีวิตคุณคือโอกาสการเรียนรู้และหาความรื่นรมย์

ฐานะของคุณบนโลกใบนี้ในฐานะผู้สร้างปาฏิหาริย์นั้นมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าภายในตัวคุณมีพลังงานไร้ขอบเขต ต้นกำเนิดแห่งความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดนัพร้อมให้คุณดึงมันมาใช้และรวบรวมประวัติศาสตร์แห่งตัวคุณเอง

หลังจากนั้นพลังนั้นจะอยู่คุ้มครองคุณเสมอ และคุณจะมั่นใจในเรื่องนั้นได้เสมอ ขณะที่คุณกำลังรับฟังหนังสือของฉันเรื่อง “ปาฏิหาริย์” อาจจะมีแนวคิดบางอย่างที่คุณไม่คุ้นเคยหรือขัดแย้งกับบางส่วนในมุมมองทางศาสนาหรือปรัชญาของคุณ

ฉันเข้าใจว่าทำไมคนถึงมีความรู้สึกเช่นนั้น และแน่นอนฉันเชื่อว่าทุกคนควรแสวงหาแนวคิด หลักศีลธรรมและค่านิยมที่เหมาะสมกับตัวเอง ภายใต้ความรู้ที่เอื้อมถึงได้ หากคุณปรารถนาจะมีปรัชญาชีวิตส่วนตัว

คุณต้องค้นหาว่าคุณจะใช้ชีวิตและนำเอาปรัชญา หลักศีลธรรมนั้นไปใช้ได้อย่างไร เพราะสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นของคุณเอง คุณจะสะสมพลังความเข้มแข็งไว้ภายใน คุณจะไม่ได้ใช้ชีวิตตามทฤษฎีที่คนอื่นมอบให้ คุณกำลังสร้างทฤษฎีที่แข็งแกร่งซึ่งสนับสนุนคุณและสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงตัวคุณเป็นหลัก

เมื่อคุณเริ่มใส่ใจในตัวเองและมองว่าชีวิตตัวเองนั้นคือพันธะสัญญา พลังงานของคุณจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วมาก คุณอาจรู้สึกว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และอาจถึงขั้นรู้สึกโมโหตัวเองเล็กน้อยเพราะคุณต้องการมากกว่านี้แต่ไม่เห็นผลลัพธ์ตามที่ต้องการในทันที

อย่างไรก็ตาม คุณต้องจำใส่ใจไว้ว่าพลังภายในตัวคุณนั้นเป็นพลังที่แฝงเร้น มันจะไม่แสดงออกให้เห็นทันทีผ่านสิ่งต่างๆ ที่รายล้อมตัว แต่เมื่อพลังนั้นค่อยๆ แสดงออก จะเหมือนแสงไฟสว่างขึ้นอย่างช้าๆ

แรกเริ่มคุณอาจไม่สังเกตเห็นความแตกต่างมากนัก เพราะพลังงานที่คุณใส่เข้าไปในบ้าน งาน คนรักและผู้คนรอบตัวคุณนั้นมีรูปแบบตายตัวอยู่แล้ว การจะเปลี่ยนรูปแบบเหล่านั้นต้องใช้เวลา

เวลาที่แสงสว่างจะสาดเข้าสู่รูปแบบเดิมๆในชีวิตของคุณ และปลุกมันให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา ส่วนมากจะใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่ความเปลี่ยนแปลงจะเริ่มปรากฏ จากนั้นจะใช้เวลาหลายปีกว่าความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในชีวิตของคุณจะคงอยู่ถาวร

คุณมีขนบธรรมเนียมหรือเป้าหมายในชีวิตอันเป็นการปลดปล่อยตัวเอง เพื่อกลายเป็นบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็ง เป็นอิสระจากโลกโดยไม่ต้องพึ่งพามันทางใจ

คุณมีประวัติศาสตร์ส่วนตัวที่ช่วยให้คุณมาถึงจุดนี้ได้ เหตุผลสำคัญที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยประสบความสำเร็จเพราะพวกเขาไม่ต้องการเปลี่ยนวิถีชีวิตเดิมๆ เหมือนกับพวกเขาล็อคตัวเองไว้อยู่แต่ในคุก ทั้งๆประตูเปิดตลอดเวลา

แม้จะไม่มีผู้คุมก็ตาม พวกเขาคุ้นเคยกับเหล่านักโทษและชีวิตแบบเดิมๆ ในคุก จนไม่อาจก้าวออกไปได้ ในโลกนี้เราต้องการสิ่งมีชีวิตที่ตื่นรู้ คนที่มีจิตสำนึกขั้นสูงขึ้น และผู้ที่สามารถเผยแพร่ความคิดใหม่ หรือแสงสว่างใหม่ได้มากกว่าสิ่งใด

บทสรุป

ขอให้จำไว้ว่า ภายในกฎจักรวาลไม่มีสิ่งใดที่ต่อต้านคุณได้ แม้ตัวคุณเองอาจจะคิดว่าอะไรต่อมิอะไรมันไม่เป็นไปตามที่คุณอยากให้เป็นเลย เช่นหากคุณพูดว่า “ฉันรวย” สมองคุณอาจจะค้านว่าไม่จริงเลย นั่นก็ไม่ใช่เรื่องจริง

แต่ขอให้รู้ว่าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายตรงข้ามที่สร้างกฎจักรวาล คุณเป็นส่วนหนึ่งของกฏวาล กฎจักรวาลใช้ได้กับทุกอย่างรวมถึงตัวคุณด้วน กฏจักรวาลกำลังจะมอบสิ่งที่คุณปรารถนา แต่ความขัดแย้งภายในตัวเองนั้นเป็นเรื่องปรกติ และมันคือสิ่งที่ผู้ต้องการประสบความสำเร็จทุกคนต้องเผชิญมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ลองหวนนึกถึงตำนานเล่าถึงการตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ หรือการสังหารมังกร ซึ่งมีความหมายว่าไม่มีใครจะเข้าสู่ ‘ความสำเร็จ’ ภายในตัวเราได้ จนกว่าจะฝึกฝนเอาชนะมังกรแห่งความคิดด้านลบที่เราได้รับมาจากจิตไร้สำนึกรวมได้สำเร็จ

ในแง่หนึ่งคุณจะต้องละทิ้งความคิดว่าโลกและจักรวาลมีข้อจำกัด แม้ว่าร่างกายคุณอาจจะยังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ระหว่างคุณกับดวงดาวไม่ได้มีสถานที่ใดๆ มิติใดๆ มิติการ หรือสถานที่พิเศษต่างๆ ที่คุณไปไม่ได้ ทุกอย่างล้วนอยู่ภายในตัวคุณแล้ว

พูดอีกอย่างคือ ทุกสิ่งที่คุณนึกคิดได้ มีอยู่ในตัวคุณแล้ว ไม่สำคัญว่าคุณจะมีมันในครอบครองอยู่ตอนนี้หรือไม่ ทุกอย่างที่คุณจินตนาการ กำลังค่อยๆ กลายเป็นจริง

หากคุณพูดว่า “ฉันรวย” คุณต้องเริ่มลองรู้สึกว่ารวย คิดอย่างรวย และวางตัวแบบคนรวย พูดสิ่งที่คุณมี

เช่น ลองเข้าร้านหรูๆ จิบกาแฟในโรงแรมชั้นเลิศของเมือง และทำตัวให้กลมกลืน เสมือนว่าคุณมีทรัพย์สมบัติมหาศาลอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ต้องออกไปจ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายเกินตัวนะ หัวใจสำคัญคือออกไปอยู่ในบรรยากาศและความรู้สึกแบบคนรวย ทำกริยาท่าทางให้เหมือนคนรวย คิดแบบคนรวยโดยไม่กระทบกับเงินในกระเป๋า

กฎจักรวาลเตรียมมอบมันให้คุณอยู่แล้ว ด้วยวิธีนี้ คุณกำลังบ่มเพาะความร่ำรวยให้เป็นความจริงในการเดินทางภายใน และมันจะปรากฎชัดในโลกภายนอก การเดินทางภายนอกของคุณในที่สุด ความปรารถนาของคุณจะเป็นจริง หากคุณรักษาความรู้สึกนั้นเอาไว้ได้

และมีพลังชีวิตที่มากพอที่จะใช้สิ่งต่างๆ ที่คุณต้องการได้เมื่อคุณเรียนรู้มากขึ้นคุณจะสามารถใช้มันเพื่อให้ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ

ณ จุดนี้อาจจะสรุปได้เลยว่าเพราะกฎจักรวาลไม่ได้สนใจว่าคุณมีสิ่งที่ตัวคุณต้องการแล้วหรือยัง มันเป็นหน้าที่ของคุณที่จะทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น

ดังนั้นเวลาที่คุณปรารถนาสิ่งใด มันก็จะกลายเป็นของคุณ เราส่วนมากมักจะไม่เชื่อว่าเรา ‘คู่ควร’ กับความสำเร็จ ความมั่งคั่ง สุขภาพดี หรือสิ่งอื่นใดที่เราต้องการ ตอนเป็นเด็กเราถูกบอกว่าเราไม่ดีพอ เราเป็นหนี้สังคม เป็นหนี้โลกของความเป็นจริง หรือเรามีบาปใหญ่หลวงที่ต้องชดใช้ก่อนจึงจะมีชีวิตในแบบที่ต้องการได้

ทั้งหมดนี้ไม่จริงเลย หากคุณทุ่มเทพลังงานให้กับกฎจักรวาล มันก็จะตอบสนองให้คุณตามสัดส่วนที่คุณใส่เข้าไป คุณจึงควรสำรวจความคิดด้านลบของตัวเองอย่างละเอียด

ความคิดแบบ “โอ๊ย ฉันไม่เคยถูกรางวัลอะไรเลย” “ฉันแกเกินไปแล้ว พวกเขาไม่จ้างฉันแน่ๆ” หรือ “ฉันไม่มีทางได้คบกับคนนั้นหรอก ฉันไม่สวยพอ” ความคิดเหล่านี้เผยให้เห็นกลไกการทำงานของจิตใจเรา แน่นอนบางครั้งปาฏิหาริย์นั้นมันดูช่างไม่สมเหตุสมผล! แต่มันเป็นแนวทางของกฏแห่งจักรวาล

ดังนั้น สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือคำแนะนำที่ฟังดูมีเหตุผล ในกรณีนี้คุณต้องสังเกตจิตใจอยู่ห่างๆ อย่างสำนึกบุญคุณ

จากนั้นกล่าวว่า “ฉันไม่ยอมรับสิ่งใดๆที่ต่อต้านพลังอันไร้ขอบเขตที่มีอยู่ในตัวฉันหรอก!” แล้วจึงมุ่งหน้าต่อไป

พลังจักรวาลนั้นไร้ที่สิ้นและแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากกว่าความคิดที่จำกัดที่เรามี นี่คือสาเหตุที่จิตใจเรามีปัญหาในการรับรู้มัน ไม่ใช่สิ่งที่คุณได้ยินจริงๆจากกู สัมผัสผ่านผิว หรือลิ้มรสผ่านลิ้นได้

แต่คุณจะสัมผัสมันได้ผ่านความรู้สึกที่คุณจะได้รับจะเป็นเหมือนสัญชาตญาณ สังหรณ์แห่งใจ หรือความตื่นเต้นวูบหนึ่ง แค่นั้นเอง มันเหมือนสายลมพัดเอื่อยๆ ผ่านไป

แล้วในที่สุดคุณจะเชื่อและได้รู้ได้เห็นมันก็ต่อเมื่อพลังนั้นเริ่มทำงานในชีวิตคุณแล้ว คุณจะรู้ผ่านผู้คนและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆที่มันเกิดขึ้นและส่งเสริมให้คุณได้รับสิ่งที่คุณต้องการ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *