เปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณจากภายในเท่านั้นถึงจะรวยได้

บทสรุป

เนื้อหา

เอาล่ะ มาพูดถึงโมเดลที่ผมเคยใช้ด้วยตัวเองนะ มันคือโมเดล “มี ทำ เป็น”

โมเดลนี้บอกว่า “ถ้าฉันมีหรือเคยมีอะไรบางอย่าง ฉันถึงจะสามารถทำอะไรบางอย่างได้ และเป็นอะไรบางอย่างได้” ตัวอย่างเช่น “ถ้าฉันมีหรือเคยมีเงิน ฉันก็จ้างคนมาทำโฆษณา Facebook ให้ได้ หรือจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัว หรือจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการบูรณาการต่างๆ เพื่อพัฒนาชีวิต เปลี่ยนชีวิต หรือเปลี่ยนธุรกิจของฉันได้”

มีนักพูด นักสร้างแรงจุงใจอยู่คนหนึ่งที่ดัง เขาบอกให้ทุกคนทำงานหนักจนเลือดกลบตา ผมเคยได้ยินประโยคนี้บ่อยนะ ความจริงก็คือ สมมติว่าคุณคิดถึง “ความรวย” ในแง่จิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกของคุณเชื่อมโยงกับความยากจน แล้วการกระทำของคุณจะเป็นยังไง? คุณจะอยู่ในจุดที่ “มีเงินน้อย” ในจิตใต้สำนึก

หลายคนฟังคนคนนั้น แล้วก็ทำงานหนักจนเลือดกลบตา ทำงาน 70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ละเลยลูก หลาน แฟน ครอบครัว ทำงานหนัก ลำบาก ทำไมน่ะ? เพราะพวกเขาไม่ได้เป็น “คนแบบ” ที่ควรจะเป็นในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อให้สิ่งที่ทำประสบความสำเร็จ

มีคนนึงที่ดังมากๆ (ผมไม่เอ่ยชื่อนะ แต่เชื่อว่าเขาช่วยคนได้เยอะ) เขาบอกให้ทุกคน “ลงมือทำอย่างมโหฬาร” แล้วสร้างธุรกิจทั้งหมดบนแนวคิดนั้น แต่นั่นเป็นแค่การ “ลงมือทำ” ผมจะอธิบายให้ฟังว่ามันมีข้อผิดพลาดยังไง

สมมติว่าคุณไปสัมมนาของเขา เขาบอกว่า “อยากเปลี่ยนชีวิต ต้องลงมือทำอย่างมโหฬาร” คุณคิดว่า “โอเค งั้นลงมือเลย”

อืม เข้าใจเลย ผมเองก็เคยคิดว่าทำอะไรเยอะๆ จะได้ผลลัพธ์เยอะๆ เหมือนกัน แต่มีคำถามสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม นั่นคือ “คุณเป็นคนที่สามารถทำอะไรเยอะๆ แบบยั่งยืนได้หรือเปล่า?”

การทำอะไรเยอะๆ แบบยั่งยืน ต้องอาศัยหลายอย่าง:

  • ความสมบูรณ์ในตัวเอง (Self-integral): คุณต้องพึ่งพาตัวเองได้ ไม่หวั่นไหวกับอุปสรรค
  • ความมุ่งมั่น (Committed): คุณต้องมุ่งมั่นในเป้าหมาย ไม่ล้มเลิกง่ายๆ
  • การรับผิดชอบ 100% (100% Responsible): คุณต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ ไม่โทษคนอื่น
  • มีสมาธิ (Focused): คุณต้องโฟกัสกับเป้าหมาย ไม่วอกแวก
  • มีแรงขับเคลื่อน (Driven): คุณต้องมีแรงบันดาลใจผลักดันตัวเอง

ลองนึกภาพ คุณอาจทำอะไรเยอะๆ ได้ทั้งวัน แต่ถ้าคุณไม่มีคุณลักษณะเหล่านี้ พลังในการทำอะไรเยอะๆ ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว

ผมไม่ได้ว่าใครโง่ แต่หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ จิม โรห์ นักปรัชญาธุรกิจของอเมริกา เขาเคยพูดว่า “ถ้าคุณกระตุ้นคนโง่ คุณก็ได้แค่คนโง่ที่กระตือร้นเท่านั้น!” ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้น แต่มันไม่สำคัญว่าคุณ ทำ อะไร สิ่งสำคัญคือคุณ เป็น ใคร

คนมักคิดว่าเราต้อง ทำ อะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่พวกเขาลืมไปคือ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับ ตัวตน ของผู้ทำด้วย ปล่อยผมพูดซ้ำอีก คือ สิ่งที่คุณ ทำ ประสบความสำเร็จแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ ตัวตน ของคุณ ลองพิจารณาสิ่งนี้

ไม่ว่าจะเป็นการทำอะไรเยอะๆ การออกกำลังกาย การหาลูกค้า การสร้างเพจขายของ การเขียนบทโฆษณา การสร้างช่องทางขาย หรือการสร้างธุรกิจ สิ่งที่คุณ ทำ ประสบความสำเร็จแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ ตัวตน ของคุณ

คุณอาจจะเคยหรือไม่เคยไปเข้าร่วมฟังสัมนาพัฒนาชีวิต เขาบอกทุกคนว่า ‘เขียนเป้าหมายของคุณลงไป!’ ทุกคนก็จะดึงเอากระดาษออกมาเขียนเป้าหมายของตัวเองด้วยความตื่นเต้น พวกเขาตั้งเป้าหมายบ้านหรู รถหรู เงินทอง และความสำเร็จต่างๆ ผมกล้ารับประกันเลยว่า 97-98% ของคนเหล่านั้น ไม่เคยบรรลุเป้าหมายนั้นเลย

สาเหตุก็เพราะพวกเขาพยายามทำอะไรเพื่อ ให้ได้ เป้าหมาย แทนที่จะ เป็น คนที่คู่ควรกับเป้าหมายนั้น ไม่เพียงแค่นั้น เป้าหมายเหล่านั้นยังขัดแย้งกับตัวตนภายในของพวกเขาด้วย

ที่งานการตลาดแบบเครือข่าย (MLM) หรืองานสัมนาตัวแทนประกัน ทุกคนตั้งเป้าหมายกันอย่างสนุกสนานและตื่นเต้น เคยสงสัยไหมว่าทำไมการตั้งเป้าหมายไม่ค่อยได้ผล? บางคนอาจคิดว่า ‘อะไรกัน? ทุกคนก็บอกให้ตั้งเป้าหมายกันหมด!’

ใช่ ทุกคนบอกให้ตั้งเป้าหมาย แต่ปัญหาคือ การตั้งเป้าหมายแบบทั่วไปมักเป็นการตั้งจากตัวตนปัจจุบัน สิ่งที่คุณ เป็น ตอนนี้ ย่อมจำกัดสิ่งที่คุณ ทำ ได้ ทำให้คุณวนเวียนอยู่กับที่เดิม ไม่สามารถสร้างสิ่งที่คุณต้องการได้ในอนาคต

นี่คือเหตุผลที่คุณควรทำงาน จาก เป้าหมายและวิสัยทัศน์ ไม่ใช่ทำงาน เพื่อ เป้าหมายและวิสัยทัศน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ

ก่อนที่เราจะไปเรื่องถัดไป ผมอยากให้คุณรู้จักกับ NLP (Neuro-Linguistic Programming) ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์การสื่อสารที่พัฒนาขึ้นในช่วงปี 1970 โดยริชาร์ด แบนด์เลอร์ และจอห์น กรินเดอร์ ในช่วงทศวรรษที่ 50 มีนักจิตวิทยาสังคมชื่อเกรกอรี เบทสัน เสนอโมเดลพฤติกรรมที่เรียกว่า “ระดับตรรกะ” (Logical Level) ซึ่งผมจะอธิบายให้คุณฟัง

เตรียมกระดาษและปากกาไว้ ถ้าเป็นไปได้ ให้วาดรูปสามเหลี่ยมขนาดประมาณครึ่งหน้ากระดาษ ตรงล่างสุด เขียนคำว่า “สภาพแวดล้อม (Environment)” ถัดขึ้นไปข้างบนเขียนคำว่า “พฤติกรรม (Behavior) ” ถัดขึ้นไปต่อด้วยคำว่า “ทักษะ (Capability)” (NLP ใช้คำว่า “ทักษะ” แทน “ความสามารถ”)

ถัดขึ้นไปอีกเขียนคำว่า “ความเชื่อ (ฺBelief)” ถัดขึ้นไปอีกเขียนคำว่า “อัตลักษณ์ (Identity)” มีอีกขั้นที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง ในโมเดล NLP ทั่วไป คือขั้นบนสุด

บนสุดให้เขียนคำว่า “จิตวิญญาณ” หรือ “พลังจักรวาล” หรืออะไรก็ได้ที่สื่อถึงพลังที่สร้างและรักษาจักรวาลนี้ไว้ให้คงอยู่ ซึ่งหมายถึงพลังทางจิตวิญญาณ พลังแห่งจักรวาล พลังธรรมชาติ พลังพระเจ้า หรือพลังควอนตัมที่ไหลผ่านตัวคุณ เพราะคุณเป็นสิ่งที่มีพลังงาน

คุณจะได้รูปคร่าวๆตามรูปด้านล่างนี้

ตอนนี้ ผมอยากให้คุณวงกลมคำว่า “พฤติกรรม (Behavior)” แล้วมองมันดีๆ เพราะเมื่อคุณต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต…

คนส่วนใหญ่ มักเริ่มต้นที่การกระทำ เช่น ตั้งใจจะออกกำลังกายในเดือนมกราคม เริ่มต้นปีด้วยความตั้งใจดี แต่มองไปที่ฟิตเนส ภายในสัปดาห์ที่สามของเดือนมกราคม ผมเชื่อว่าเหลือคนที่ออกกำลังกายไม่ถึง 10% เท่านั้น

ทำไม? เพราะพวกเขาพยายาม “ทำอะไรบางอย่าง” เช่น ขับรถไปฟิตเนส เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ พวกเขาพยายาม ทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์

แต่สิ่งที่ไม่มีใครคิดเลยคือ “นั่นแค่พฤติกรรมของฉัน”

ผมอยากให้คุณวงกลมคำว่า “อัตลักษณ์” แล้วมองมัน อัตลักษณ์ของคนที่ออกกำลังกายคืออะไร?

สมมติว่าอัตลักษณ์ของคนที่ออกกำลังกายคือ “ฉันเป็นคนทำอะไรไม่ยึดติด” นี่คือคุณลักษณะที่พวกเขาเชื่อว่าตัวเองมี

คุณยังวงกลมคำว่า “ความเชื่อ” ได้อีก ความเชื่อของพวกเขาอาจจะเป็น “ฉันเป็นคนที่ทำอะไรไม่ยึดติด”

ถ้ามองกลับไปที่ด้านบนของพีระมิด พฤติกรรมจะมีประสิทธิภาพแค่ไหนถ้าความเชื่อที่อัตลักษณ์คือ “ฉันเป็นคนที่ทำอะไรไม่ยึดติด”

อธิบายเพิ่มเติม:

  • “สภาพแวดล้อม” ที่ด้านล่างของพีระมิด หมายถึงโลกกายภาพ ร่างกายของคุณ และผลลัพธ์ที่คุณต้องการสร้าง
  • ถ้าคุณไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ไม่ใช่เพราะสิ่งที่คุณ ทำ (ซึ่งมักเป็นสิ่งที่คุณพยายามทำ) แต่เป็นเพราะ ตัวตน ของคุณที่ระดับอัตลักษณ์

หวังว่าตอนนี้จะเข้าใจมากขึ้นนะครับ ว่าเค้าโครงของสิ่งที่คุณสร้างขึ้น มาจาก “การเป็น” และ “วิธีที่คุณเป็น” การเป็นของคุณจะกำหนดสิ่งที่คุณสร้าง”

อัตลักษณ์ของคุณกำหนดวิธีการ “เป็น” ของคุณ และอัตลักษณ์ของคุณถูกเรียนรู้มาตั้งแต่ก่อนอายุ 8 ขวบ โสเครติสเคยพูดประมาณนี้ และนักจิตวิทยาชาวเยอรมันคนหนึ่งก็พูดทำนองเดียวกันว่า “ถ้าฉันเลี้ยงเด็กจนถึงอายุแปดขวบ ฉันจะครอบครองเด็กคนนั้นตลอดชีวิต”

นั่นเป็นเพราะเราถูกกำหนดโดยสิ่งที่เกิดขึ้นตอนเด็ก เพราะสมองส่วนวิเคราะห์ยังไม่พัฒนาเต็มที่ ดังนั้น สิ่งที่ได้ยินตอนเด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ จะถูกบันทึกไปยังจิตใต้สำนึกโดยตรง เพราะเรายังวิเคราะห์สิ่งที่ได้ยินไม่ได้จนกว่าจะโตขึ้นอีกหน่อย

ตัวอย่างเช่น เด็กชายสองคนในสนามเด็กเล่น อายุ 5 ขวบ คนนึงพูดกับอีกคนว่า “โง่!” เด็กอีกคนร้องไห้ แต่ถ้าเป็นเด็กชายอายุ 12 ปี คนนึงพูดกับอีกคนว่า “โง่!” อีกคนสวนกลับว่า “ไม่โง่! แกต่างหากที่โง่!” เพราะเขาสามารถวิเคราะห์สิ่งที่ได้ยิน

ผมจะพาทุกคนแยกแยะตัวเองออกเป็นส่วนๆ ตลอดการฟังพอดแคสต์นี้ และในช่วงเวลาที่เราใช้ร่วมกัน ผมจะพาคุณไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิต ผ่านการสร้างตัวเองใหม่จากภายในสู่ภายนอก พอดแคสต์แต่ละตอนจะช่วยให้คุณเติบโต

กลับมาที่พีระมิดนี้อีกครั้ง ชื่อทางการใน NLP คือ ระดับตรรกะ (Logical Level) คิดค้นโดย Gregory Bateson นักจิตวิทยาสังคม ย้อนกลับไปช่วงปี 1880 มีคนชื่อ James Allen เขียนหนังสือชื่อ “As A Man Thinketh” เขาพูดว่า “จิตใจเป็นพลังสำคัญที่หล่อหลอมและสร้างสรรค์ คนคือจิตใจ และตลอดไป เขาจะได้รับ สิ่งที่เขาคิดในใจ และสภาพแวดล้อมของเขาเป็นเพียงกระจกสะท้อน”

ทุกสิ่งในชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะเป็นบัญชีธนาคาร ร่างกาย ความสัมพันธ์ ล้วนสะท้อนอัตลักษณ์ของคุณ มันถูกสร้างขึ้นจากตัวตนภายใน

ดังนั้นผมอยากให้คุณตระหนักว่า การเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ใช่แค่ลงมือทำ การกระทำของคุณมีประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับตัวตนของคุณ การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ต้องเปลี่ยนแปลงตัวตนภายใน มันไม่ใช่แค่ไปทำนู่นทำนี่ แต่มันคือการเปลี่ยนแปลง เราจะเริ่มทำงานจากภายใน

ผมบอกคุณแล้วว่า ผมจะพาคุณไปลึกกว่าที่เคยฟังมา เป้าหมายของผมคือ ทุกตอนจะมีสิ่งที่คุณค้นพบและนำไปปรับใช้ได้ ผมอยากปลูกฝังเมล็ดพันธุ์บางอย่างไว้ตอนนี้ ผมจะไม่เจาะลึก แต่คำถามคือ ถ้าคุณมองไปที่ตัวคุณเอง ไม่ว่าชื่อคุณจะเป็นอะไร นาย ก. นาย ข. นางสาว ค. หรืออยู่ที่ไหนบนโลก… คุณมองตัวเองว่าเป็นสิ่งมีชีวิต และมองไปที่อัตลักษณ์ของคุณ

ตามหลักการอนุรักษ์พลังงานและมวลสารของไอน์สไตน เราไม่สามารถทำลายพลังงานได้ ทุกอย่างแค่เปลี่ยนรูปร่าง เหมือนกับก้อนน้ำแข็งในแก้วน้ำ ก้อนน้ำแข็งละลาย แต่ปริมาณของเหลวในแก้วก็ยังเท่าเดิม เช่นเดียวกันกับคุณ ตามทฤษฎีของไอน์สไตน เราไม่ตาย เราแค่เปลี่ยนรูปร่าง นั่นหมายความว่าคุณอยู่ที่ไหนสักแห่งก่อนที่จะมาอยู่ในร่างกายนี้

อีกครั้ง ผมบอกคุณว่า ผมไปลึกในบางเรื่อง ผมแค่อยากพาคุณไปตามนั้น ผมจะไม่ไปไกลเกินไป แต่สิ่งที่ผมอยากถามคุณจริงๆ คือ ถ้าคุณขุดลึกลงไปและมองไปที่อัตลักษณ์ของคุณในฐานะสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่คนในสังคม แต่เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ อัตลักษณ์ของคุณคืออะไร? ผมจะให้คำใบ้เล็กน้อย…

หลายคนเคยได้ยินว่า “เราเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตทางจิตวิญญาณด้วย” แต่ผมอยากบอกว่า เราไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตทางจิตวิญญาณ เราเป็น “สิ่งมีชีวิตจักรวาล” ที่มาอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์

ถ้าคุณยอมรับและดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์นี้ คิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง?

ประเด็นหลักที่ผมอยากให้คุณจำไว้คือ “คำถาม” อะไรคือสิ่งที่คุณมุ่งมั่น และคุณต้องเป็นอย่างไรหรือใครถึงจะบรรลุสิ่งนั้น?

ตัวอย่าง: ความสัมพันธ์ของคุณไม่เป็นอย่างที่ต้องการ แทนที่จะพยายาม “ทำ” อะไรเพื่อให้ดีขึ้น ลองถามตัวเองว่า “ฉันต้องเป็นใคร ต้องทำอย่างไร (who and how)” ถึงจะได้ความสัมพันธ์ที่สงบสุขและรักใคร่?

นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ติดตามพอดแคสต์ต่อไป คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ “อัตลักษณ์จิตใต้สำนึก” และวิธีที่มันควบคุมชีวิตคุณ ตัวอย่างเช่น ยาสีฟันที่คุณซื้อบ่อยๆ ทำไม? เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ คุณทำงานภายใต้บริบทของอัตลักษณ์ของคุณเสมอ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *