ไขความลับโบราณสู่การสร้างความจริงผ่าน The Law of Assumption โดย Harvey Spencer Lewis

เนื้อหาต่อไปนี้จะเป็นการสรุปรายละเอียดของ บันทึกเรื่องความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง (The Law of Assumption) โดยมีความเชื่อที่ว่าความคิดของเรามีพลังที่จะดึงดูดสิ่งต่างๆเข้ามาในชีวิตเรา หากเราต้องการสิ่งไหนแล้วจำลองตัวเองในใจว่าทำสำเร็จแล้วและเชื่ออย่างต่อเนื่องแล้วสิ่งนั้นจะกลายเป็นจริง

ซึ่งเนื้อหานี้เขียนโดย Harvey Spencer Lewis F.R.C. และเผยแพร่โดยองค์ลับ The Ancient and Mystical Order Rosæ Crucis, AMORC ระหว่างปี ค.ศ. 1915 – 1939 ซึ่งมีเพียงคนกลุ่มน้อยบนโลกเท่านั้นที่เข้าถึง

และเว็บไซต์ เศรษฐี sedtee.com ก็เป็นที่เดียวที่นำมาแปลเป็นภาษาไทยเผยแพร่ศาสตร์ลับนี้ และตอนนี้คุณก็เป็นเพียงหนึ่งในคนจำนวนน้อยบนโลกนี้ที่รู้จักเนื้อหานี้แล้ว จงอ่านต่อเลย

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกัย Harvey Spencer Lewis F.R.C. หรือที่รู้จักกันในชื่อ H. Spencer Lewis กันก่อน เป็ฯเป็นนักปรัชญา นักเขียน และผู้ก่อตั้ง The Ancient and Mystical Order Rosæ Crucis หรือชื่อสั้นๆ Rosicrucian Order, AMORC องค์กรลับที่มุ่งเน้นไปที่การศึกษาจิตวิญญาณและความลับทางทฤษฎี เขาเกิดเมื่อปี 1869 ในเมืองเบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ

Lewis เติบโตในครอบครัวที่เคร่งครัด เขาสนใจปรัชญาและจิตวิญญาณตั้งแต่อายุยังน้อย
ศึกษาที่ University College London และ Queen’s University Belfast เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 1910

Lewis สนใจศึกษาหัวข้อต่างๆ เช่น จิตสำนึก สัญชาตญาณ ปรากฏการณ์ทางจิต ธรรมชาติของวิญญาณ และกฎแห่งจักรวาล ในปี 1917 Lewis ก่อตั้ง Rosicrucian Order, AMORC ใน New York เพื่อมุ่งเน้นไปที่การศึกษาจิตวิญญาณ การพัฒนาตนเอง และความลับทางทฤษฎี

AMORC เป็นสมาคมปรัชญาที่ไม่ใช่ศาสนา ไม่แสวงหาผลกำไร นิยามตัวเองว่าเป็นองค์กรด้านการศึกษา ปรัชญา และการริเริ่ม ต่อยึดมั่นในการศึกษา กฎสากลของจักรวาล และวิวัฒนาการของจิตสำนึก AMORC เติบโตอย่างลับๆอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหนึ่งในองค์กรลับที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถึงแม้จะใหญ่ระดับโลกด้วยธรรมชาติขององค์กรลับข้อมูลการศึกษาส่วนใหญ่จึงไม่เป็นที่รู้จักของคนหมู่มากบนโลก

Lewis เขียนหนังสือกว่า 50 เล่ม เกี่ยวกับปรัชญาจิตวิญญาณ การพัฒนาตนเอง และความลับทางทฤษฎี ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อนักปรัชญา นักเขียน และนักแสวงหาจิตวิญญาณ เขาได้เสียชีวิตในปี 1939

The Law of Assumption เป็นผลงานชิ้นสำคัญของ Lewis โดยที่เขาเชื่อว่าความคิดของเรามีพลังที่จะดึงดูดสิ่งต่างๆเข้ามาในชีวิตเรา เขายังเน้นย้ำถึงพลังของจินตนาการ ดังนั้นเราควรจินตนาการถึงสิ่งที่เราต้องการราวกับว่ามันเป็นจริงแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องเชื่ออย่างมั่นคงว่าสิ่งที่เราต้องการจะเกิดขึ้น และปลูกฝังอารมณ์ที่สอดคล้องกับความปรารถนาของเรา อย่างไรก็ตามแม้ว่าความคิดและความเชื่อสำคัญแต่การกระทำก็สำคัญเช่นกัน เราต้องดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย

แนวความคิดเรื่อง The Law of Assumption ได้ถูกศึกษาต่อและนำมาเผยแพร่โดน Neville Goddard ในภายหลังนั่นเอง

ต่อไปนี้เป็นเนื้อแปลจาก The Law of Assumption ของ Harvey Spencer Lewis F.R.C. โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

ยิ่งคุณนำหลักปฏิบัติของ Rosicrucian Order, AMORC ทดสอบและนำไปใช้อย่างจริงจังและถูกวิธี สมาชิกก็จะยิ่งกระตือรือร้น และยิ่งเชี่ยวชาญในการบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการมากขึ้น

คุณสามารถใช้หลักการของความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง (Principle of assumption) เพื่อทำให้ชีวิตของคุณมีความสุขมากขึ้น มีความพอใจมากขึ้น และเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและความสุขในชีวิต

วิธีที่ถูกต้องในการทำให้ชีวิตของคุณมีความสุขมากขึ้นและมีสิ่งดีๆ มากมายคือการใช้หลักความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง (Law of Assumption) ในวิธีที่ถูกต้อง เราจะมาอธิบายให้ฟังว่าหมายความว่าอย่างไร

แน่นอนว่าพวกคุณแต่ละคนคงรู้จักบุคคลบางคนที่เป็นตัวแทนของคุณในเรื่องความสุข ความพึงพอใจ และสุขภาพ บ่อยครั้ง คุณอาจปรารถนาให้คุณเป็นเหมือนคนเหล่านั้นและสามารถมีความดีงามในชีวิตเช่นเดียวกับคนเหล่านั้น

คนที่ไม่รู้จะอิจฉาผู้ที่มีสุขภาพดีและความสุข ในขณะที่ผู้ศึกษาทางจิตวิญญาณจะไม่รู้สึกอิจฉา แต่พวกกลับจะชื่นชมยินดีในความจริงที่ว่าผู้อื่นมีความพึงพอใจและสุขภาพ รวมถึงพรอื่นๆ ของชีวิต ผู้ศึกษาทางจิตวิญญาณเหล่านี้จะพยายามเลียนแบบและเป็นเหมือนคนเหล่านั้น

นี่คือจุดที่หลักการของการสวมบทบทสมมุติ หรือ ที่เรียกว่าความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง (principle of assumption) เข้ามามีบทบาท เราไม่ควรพยายามแทนที่ตัวเราด้วยคนที่ดูมีความสุขและพึงพอใจ แต่เราควรสร้างบุคคลในอุดมคติขึ้นมาในใจของเราเอง สร้างให้เป็นคนที่กำลังเพลิดเพลินกับสิ่งที่สมบูรณ์แบบของชีวิตตามความเข้าใจของเราเอง

ขั้นแรก เราควรสร้างภาพในใจของบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง คนที่มีรอยยิ้มในดวงตาและใบหน้าที่เอิบอิ่ม มีคำพูดที่ใจดีและให้กำลังใจสำหรับทุกคน มีบ้านที่สะดวกสบายตั้งอยู่ในทำเลที่เงียบสงบสวยงาม มีกลุ่มคนที่รักและมีความสุขอยู่ด้วยกัน มีรายได้ที่มากพอและเป็นคนที่ผู้คนเคารพนับถือ

บุคคลในอุดมคติเช่นนี้สามารถมีคุณสมบัติและเงื่อนไขมากมายที่เราสามารถคิดค้นหรือจินตนาการได้ เราสามารถสร้างภาพเขาให้มีเสียงร้องเพลงที่ไพเราะ สร้างความบันเทิงให้ทั้งผู้อื่นและตัวเธอ หรือมีความสามารถอันยอดเยี่ยมในการกล่าวสุนทรพจน์ เราสามารถให้คุณลักษณะพิเศษอื่นๆ อีกมากมายแก่เขาตามที่เราเห็นว่าจำเป็นต่อการเป็นบุคคลแห่งความสุขในอุดมคติของเรา

ขั้นตอนต่อไปหลังจากสร้างอุดมคติเช่นนี้ขึ้นในใจของคุณ คือการใช้หลักการใช้หลักความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง (principle of assumption) โดยที่สันนิษฐานว่าคุณค่อยๆ กลายเป็นบุคคลในอุดมคตินั้น และในแต่ละวันให้สร้างภาพในใจว่าคุณเป็นบุคคลในอุดมคติที่คุณได้วาดภาพไว้แล้วจริงๆ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากที่คุณได้สร้างตัวละคร บุคลิกภาพที่เปี่ยมด้วยความสุขและความพึงพอใจในชีวิต มีสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบในชีวิตแล้ว คุณควรแทนที่ตัวตนในปัจจุบันของคุณและสภาวะปัจจุบันของคุณด้วยการสันนิษฐานว่าคุณคือบุคคลในอุดมคตินั้น

เพื่อให้มีความสอดคล้องกันระหว่างโลกภายในใจและโลกภายของของคุณ และทำให้หลักการนี้ทำงานได้อย่างถูกต้องคุณจะต้องทำส่วนของคุณในการสมบทบาทจำลองเป็นคนที่คุณสร้างภาพขึ้นมาในใจนั้น

หากคุณกำลังสวมบทบาทว่าตัวเองเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ มีความสุข และมีเงินทองมากมาย คุณต้องปฏิบัติตัวเช่นนั้นในโลกความเป็นจริงของคุณในทุกๆ ชั่วโมงที่คุณรู้สึกว่าคุณกำลังรับบทบาทในอุดมคตินั้น

คุณต้องรู้สึกว่าคุณมีสุขภาพดี คุณต้องรู้สึกว่าคุณมีความสุข คุณต้องรู้สึกว่าคุณมีเงินมากมาย สิ่งเหล่านี้ต้องแผ่ออกมาจากตัวคุณด้วยความเชื่อมั่นราวกับว่ามันเป็นความจริงอย่างแท้จริง

ขอให้จำไว้ว่าคนในอุดมคติที่คุณสร้างขึ้นภายในจะต้องไม่เป็นคนบึ้งตึง ขี้บ่น ขี้กลัว กังวล หรืออิจฉาริษยา เพราะนั่นจะเป็นรอยดำบนภาพในอุดมคติที่คุณสร้างขึ้น

ดังนั้นขั้นตอนแรกของคุณในการทำตามสันนิษฐานส่วนของคุณคือการสวมลักษณะและทัศนคติ และดำเนินการตามแบบของบุคคลในอุดมคติที่คุณได้สร้างขึ้น

ลองนึกภาพราวกับว่าคุณกำลังเขียนเรื่องราวสำหรับนวนิยาย ภาพยนตร์ หรือบทละคร เหมือนกับคุณใส่ตัวละครที่มีความสุข และความร่ำรวยเจริญรุ่งเรืองในอุดมคติลงในเรื่องของคุณ ตัวละครนี้เป็นคนที่เปล่งประกายแห่งความสงบสุข ความร่ำรวย และมีคำพูดให้กำลังใจ และแรงบันดาลใจไปทุกหนทุกแห่งที่เขาไป

ทีนี้ลองสมมติต่อว่า หากคุณถูกเรียกตัวให้ไปแสดงเป็นตัวละครนั้นบนเวที ในฐานะนักแสดง คุณไม่จำเป็นต้องแค่พูดหรือใช้คำศัพท์ที่ตัวละครนั้นใช้เท่านั้น แต่คุณจะต้องรู้สึกและเข้าถึงตัวละครนั้นในทุกส่วนของจิตสำนึกของคุณ และทุกความคิดเล็กๆ น้อยๆ สีหน้า และการเคลื่อนไหวของคุณจะต้องสอดคล้องกับบุคลิกของตัวละครนั้น

ในการสมบทบาทเป็นคนที่มีความสมบูรณ์ มั่งคั่งร่ำรวยแบบเช่นนี้วันแล้ววันเล่าเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ในไม่ช้าคุณจะพบว่าคุณกำลังสร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณขึ้นใหม่ และดึงดูดสภาวะที่เจริญรุ่งเรือง มีความสุข และเงินทอง เช่นเดียวกับที่คุณจินตนาการมายังตัวคุณเอง คุณจะพบว่าคุณได้สร้างสิ่งที่คุณต้องการขึ้นมาจริงๆ

ดังนั้นตั้งแต่นี้ต่อไปผมขอแนะนำให้คุณดื่มด่ำไปกับตัวละครในอุดมคตินานสองสามชั่วโมงทุกวัน ให้ความคิดและการกระทำทั้งหมดของคุณเปลี่ยนไปตามบุคลิกลักษณะของบุคคลที่มีความสุขในอุดมคติของคุณ

คุณจะพบว่ามันจะมีผลกระทบทางจิตใจและต่อจักรวาลอย่างยิ่งใหญ่ต่อความคิดของคุณ และสิ่งนี้จะส่งผลต่อสุขภาพของคุณ และจะดึงดูดสิ่งที่น่าพึงพอใจมากมายมาหาคุณ ซึ่งจะทำให้วันและชั่วโมงของคุณมีความสุขและความสมบูรณ์ของชีวิตมากขึ้น

คุณควรเริ่มต้นโดยการรับเอาลักษณะของบุคคลที่สมบูรณ์แบบนี้มาปรับใช้กับตัวเองสักสองสามชั่วโมงในแต่ละวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่คุณอยู่คนเดียวและสามารถแสดงบทบาทโดยไม่ต้องอายใคร ด้วยการทำงานกับหลักหลักการของความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง (Principle of Assumption) แบบใหม่นี้ คุณอาจพบว่ามันจะเปิดมุมมองใหม่และทุ่งแห่งความเป็นไปได้ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน

คุณต้องจำไว้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พระเจ้า หรือจักรวาลนี้สร้างขึ้นนั้น มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ครอบครองพลังความคิดสร้างสรรค์ พลังสร้างสรรค์นี้เป็นส่วนหนึ่งของจิตสำนึกและใต้สำนึกในตัวเรา และนี่คือองค์ประกอบของจิตอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

สิ่งใดก็ตามที่บุคคลหนึ่งคิด จดจ่ออยู่กับมัน และในเวลาเดียวกันก็ชี้นำจิตไปที่สิ่งนั้น สิ่งนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่ปรากฏชัดขึ้นมาในโลกความเป็นจริง เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนใช้สติปัญญา เจตนา และความรู้ นั่งลงและทำสมาธิ จดจ่อ และสร้างบางอย่างขึ้นมาในใจ พวกเขาก็กำลังส่งรูปแบบความคิดของการสร้างสรรค์นั้นออกมาให้เป็นจริง และรูปแบบความคิดนี้จะกลายเป็นความจริงที่เกิดขึ้นจริงไม่ว่าจะที่ไหน หรือเมื่อไรก็ตาม

จากการใช้พลังนี้เราพบว่าเราจะไม่สามารถใช้พลังดังกล่าวในทางที่ผิดหรือในทางกลับกันได้ พลังสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่แตกต่างจากพลังทำลายล้างโดยสิ้นเชิง พลังสร้างสรรค์ในจิตสำนึกของเราไม่สามารถถูกเปลี่ยนหรือบิดเบือนเพื่อส่งความคิดทำลายล้าง รูปแบบการทำลายล้าง หรือแรงสั่นสะเทือนแห่งการทำลายล้างภายนอกได้

ทุกสิ่งที่เล็ดลอดออกมาจากจิตสำนึกของบุคคลกลายเป็นรูปแบบความคิดที่จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าสิ่งนั้นจะปรากฏชัดขึ้นมาจะต้องเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์และก่อเกิด ไม่ใช่การทำลายล้าง

นี่คือเหตุผลที่คุณไม่สามารถทำร้ายบุคคลอื่นได้ทั้งทางจิตใจหรือกระบวนการทางจิตใดๆ

หลักการของจักรวาลที่ร่วมมือกันทำให้บุคคลเข้ากันได้กับพลังสร้างสรรค์ของจักรวาลนั้นมีความกลมกลืนกันมากเสียจนความคิดทำลายล้างหรือความพยายามใดๆ ในการใช้พลังอย่างทำลายล้างจะถูกหักล้างไปเอง พลังสร้างสรรค์และศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวคุณนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณตลอดเวลา

พลังดังกล่าวสามารถใช้สร้างหรือสร้างเซลล์ใหม่และสภาวะใหม่ในร่างกายของคุณ หรือสร้างสิ่งใหม่นอกร่างกายของคุณก็ได้

ในมุมมองของความลึกลับและอภิปรัชญาอย่างแท้จริงแล้ว ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างการจดจ่ออยู่กับเซลล์บางส่วนในร่างกายเพื่อเชื่อมต่อเข้าด้วยกันในการรักษาบาดแผลหรือรักษาโรคภัย กับการจดจ่ออยู่กับคลื่นสร้างสรรค์เพื่อปล่อยให้มันออกจากจิตใจและออกไปสู่พื้นที่ว่างเปล่าเพื่อสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา

เมื่อคุณใช้กฎแห่งการใช้หลักความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง (Law of Assumption) ร่วมกับพลังสร้างสรรค์และจิตสำนึกของคุณ อาจดูเหมือนว่าคุณกำลังแสดงปาฏิหาริย์แห่งธรรมชาติ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ปาฏิหาริย์เลย แต่มันเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ คุณกำลังวางตัวเองลงในสถานะที่ต้องการแล้วใช้พลังสร้างสรรค์เพื่อทำให้ความคิดที่อยู่ในจิตสำนึกของคุณเป็นจริงขึ้นมา

ดังนั้น ตลอดการทำงานของคุณกับกฎแห่งการใช้หลักความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง (Law of Assumption) โปรดจำไว้ว่าเมื่อคุณเลือกบุคคลในอุดมคติ หรือเลือกประเภทของชีวิตหรือสถานการณ์ในอุดมคติ คุณต้องจำไว้ว่าในขณะที่คุณกำลังจดจ่ออยู่กับสภาวะในอุดมคติ และกำลังสร้างภาพสิ่งต่างๆในใจ คุณกำลังสร้างตัวตอนคุณตามในอุดคติของคุนได้เห็นในโลกความเป็นจริง

โปรดใช้หลักการเพื่อสร้างสภาวะในอุดมคติใหม่ๆ รอบตัวคุณ เลือกชีวิตของบุคคลที่คุณเชื่อว่าเหมาะสมที่สุด และให้คุณเป็นบุคคลนั้น คิดอย่างที่เขาคิด สร้างสรรค์อย่างที่เขาสร้างสรรค์ และในขณะเดียวกันก็ยึดมั่นในอุดมคติของคุณด้วย

สิ่งนี้จะทำให้คุณสามารถเข้าถึงอุดมคติหรือสภาวะที่ยึดมั่น ที่คุณปรารถนาให้มันปรากฏออกมาในชีวิตของคุณได้ หากมีบางอย่างที่ปรากฏขึ้นมาในชีวิตของคุณได้ช้า ก็ให้รับรู้ว่าเป็นเพราะจักรวาลยังไม่พร้อมอย่างเต็มที่ที่จะให้คุณมีสิ่งที่คุณกำลังแสวงหา แต่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมคุณจะได้ในสิ่งที่คุณสร้างในใจแบบที่คุณคาดไม่ถึง

เมื่อคุณกำลังจดจ่ออยู่กับภาพที่ตัวคุณเองเป็นบุคคลในอุดมคติ คุณต้องกำจัดความคิดในจิตใจของคุณที่ว่ามีในตัวคุณมีคนสอง นั่นคือ ตัวคุณเองกับคนในุดมคติ คุณต้องไม่คิดแม้แต่น้อยว่าคุณและอีกคนได้แลกเปลี่ยนสถานที่กันแล้ว และตอนนี้คุณอยู่ในสถานะของอีกคนหนึ่ง และเขาอยู่ในสถานะของคุณ ความคิดเช่นนั้นเป็นการดำรงอยู่ของสองบุคคลและการมีอยู่คู่กันของทั้งสองคนนั้นจะทำให้สิ่งผลเป็นจริงในโลกความเป็นจริงได้ยาก

ในระหว่างการใช้หลักความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง (the assumption) ความคิดที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใดในใจของคุณจะต้องเป็นความคิดที่ว่ามีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น และคุณคือบุคคลนั้น บุคคลในอุดมคติจะต้องหายไปชั่วคราว ไม่อยู่ในการรับรู้ของคุณ ราวกับว่าคุณไม่เคยได้ยินหรือไม่เคยรู้จักเขามาก่อน

การมีอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวนี้เป็นจุดลับที่ยิ่งใหญ่ในกระบวนการนี้ ต้องมีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่คุณตระหนักถึง และบุคคลนั้นในชุดความคิดใหม่นี้ที่ก่อตั้งขึ้นโดยการใช้หลักความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริง

ตอนนี้ขอให้คุณทำการทดลองต่อไปด้วยกฎแห่งการใช้หลักความเชื่อที่สิ่งนั้นเป็นจริงนี้ (Laws of Assumption) ในไม่ช้าคุณจะพบว่าคุณมีกุญแจที่ยอดเยี่ยมอยู่ในมือเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *