แอดมิน

แอดมิน

วิธีใช้นำหลักการใน The Kybalion มาใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของชีวิตคุณ

ในปี 1908 หนังสือลึกลับชื่อ The Kybalion (ภาษาไทยเรียกว่า คัมภีร์ไคบาเลี่ยน) ได้รับการตีพิมพ์ โดยระบุว่าผู้เขียนคือสามบุคคลนิรนามที่เรียกตัวเองว่า Three Initiates พวกเขารวบรวมคำสอนของปรมาจารย์ที่ชื่อว่า Hermes Trismegistus ซึ่งเชื่อกันว่ามีชีวิตก่อนยุคอียิปต์โบราณ และมีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า Thoth (ธอธ) และตามนานเชื่อกันว่าเขาเป็นเป็นอวตารแห่งเทพธอธและเฮอร์เมส จุดประสงค์ของงานเขียนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความลึกลับและภูมิปัญญาทางของศาสตร์ลึกลับ (Esoteric) คือการรวมความรู้ทั้งหมดที่สืบทอดมาจากอารยธรรมโบราณให้เป็นเจ็ดหลักการของ Hermetic ที่เข้าใจและนำไปใช้ได้ ซึ่งเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจกฎพื้นฐานของจักรวาล และวิธีการนำกฎเหล่านี้ไปใช้เพื่อมีอิทธิพลต่อ 3 ระดับของการดำรงอยู่ ได้แก่ ระดับกายภาพ ระดับจิตใจ และระดับจิตวิญญาณ ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คำสอนเหล่านี้ได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวดโดยกลุ่มและองค์กรลับต่างๆ ซึ่งรักษาความลับอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับความรู้นี้ เพียงแค่การอ่านตำราโบราณเหล่านี้หลายเล่มไม่ได้หมายถึงจะจะสามารถเปิดเผยความหมายที่แท้จริงของคำสอนนี้เสมอไป เนื่องจากคำสอนเหล่านี้และผู้ปฏิบัติถูกข่มเหง ทรมาณอย่างมากมายในหลายๆยุคถ้าหากกลุ่มที่ปกป้องคำสอนนี้รู้ว่ามีการเผยแพร่ไปสู่บุคคลภายนอก พวกเขาจึงต้องเขียนด้วยภาษาสัญลักษณ์ หรือ…

กำหนดชะตาชีวิต: ปลดล็อคความมั่งร่ำรวยด้วย 8 เทคนิคที่ทรงพลังนี้

เนื้อหาบทนี้เหมาะสำหรับผู้แสวงหาปัญญาและผู้แสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยจากภายใน เป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างเข้าใจยากอยู่ซักนิดเพราะเป็นแนวคิดแบบนามธรรมมากกว่าจะเป็นรูปธรรม เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดการความคิด เจตนารมณ์ และวิสัยทัศน์ภายใน มากกว่าการพัฒนาทักษะความชำนาญ หรือการแสวงหาเทคนิคทางธุรกิจในการสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง

15 กฎ แห่งความร่ำรวย

มีคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการสร้างความร่ำรวย ทุกคำแนะนำใช้ได้ผลหมดหากนำไปปฏิบัติจริงอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราจะมาแบ่งปัน 15 กฎแห่งความสำเร็จ ซึ่งเป็นกฎที่ทำให้คน 0.001% ประสบความสำเร็จ กฎเหล่านี้ได้มาจากการรวมข้อมูลของ แดน มาร์เทล (Dan Martell) ที่รวบรวมจากการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ของมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ แอนดรู คาร์เนกี, ริชาร์ด แบรนสัน, แอนโทนี ร็อบบิน, มาร์ค คิวแบน, แจ็ค หม่า, เจฟ เบโซส, วอร์เรน บัฟเฟตต์. บิล เกตส์ จนมาถึง อีลอน มัสต์

สิ่งที่ได้มาฟรีมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากเท่านั้น

หากพูดว่า “สิ่งที่ได้มาฟรีมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากเท่านั้น และสิ่งที่ต้องเสียเงินซื้อจริงๆแล้วคุณค่าของมันสู้ของที่ได้มาฟรีไม่ได้” คุณคงจะพุดว่า บ้าไปแล้วมั้งของฟรีมันจะไปมาค่าได้ยังไง ไม่เช่นนั้นมันจะได้มาฟรีเหรอ คำว่าฟรีหมายถึงได้มาเปล่าๆ ไม่ต้องเอาอะไรไปแลก ตรงนี้ทำให้เรามักจะมีความคิดที่ว่าอะไรที่เราได้มาฟรีๆมักจะมีค่าน้อย หรือไม่ก็ไร้ค่าไปเลย ในขณะเดียวกันสิ่งที่เราได้มาด้วยความยากลำบากหรือต้องเสียเงินเสียทอง เสี่ยงหรือเหน็ดเหนื่อยเพื่อแลกมันมา มันควรจะมีราคามีค่ามากกว่าไม่ใช่เหรอ หากคิดกันให้ลึกๆแล้วสิ่งที่มันเป็นไปมันกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง สิ่งที่มีค่าในชีวิตทุกๆอย่างเราล้วนได้มันมาฟรีทั้งนั้น ส่วนที่เราต้องเสียเงินเสียทองไปหาซื้อมันมาครอบครองมักจะเป็นสิ่งที่มีค่าต่ำ ถึงแม้จะจ่ายมันด้วยเงินมหาศาลเท่าไหร่ราคาของมันจริงๆยิ่งถูก ลองคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราได้มาฟรีทั้งนั้น หลายๆอย่างมันเป็นของเราตั้งแต่เกิด หลายๆอย่างมันก็มีอยู่แล้วแทบไม่ต้องไปดิ้นรนไปแก่งแย่งเอามา เช่น จิตใจ จิตวิญาญ ร่างกายเรา ความหวัง ความรัก ความทะเยอทะยาน กำลังใจ ความเชื่อมั่น ความอดทน ศรัทธา มิตรภาพ ครอบครัว คนที่เรารัก พ่อแม่พี่น้อง ลูกหลาน เพื่อนฝูง อากาศ…

ทำไมการตั้งเป้าหมายถึงสำคัญมากที่สุดกับชีวิต (แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ทำกัน)

หากคุณได้ติดตามอ่านเนื้อหาของเว็บ sedtee.com มาพอสมควรก็พอจะจับใจความหลักๆของเนื้อหาโดยรวมนี้ได้ว่า มันคือการที่ทางเราพยายามสื่อสารออกไปว่า ขอให้รู้ว่าตัวคุณต้องการอะไร พอรู้ว่าต้องการอะไรและต้องการมันอย่างมากแล้ว ทุกอย่างภายในตัวคุณจะหาทางไปให้ถึงจุดนั้น หรือทำให้ได้ตามความต้องการหรือเป้าหมายนั้น วันนี้จะพูดถึงเรื่องที่สำคัญในชีวีติเรื่องนี้ นั่นคือเรื่องเป้าหมาย เราคงได้ยินได้ฟังกันมานาน บางทีอาจจะบ่อยจนน่าเบื่อ เป็นเรื่องเป้าหมายอีกแล้ว ใครๆก็รู้ว่าต้องมีเป้าหมาย แล้วมันจะช่วยอะไรได้ ทุกคนต่างรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่จากการวิจัยแบบจริงๆจังพบว่า หากถามเอาคำตอบจริงๆจากคนที่คิดว่ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริงๆแล้วคนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจเลยว่าในชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ไม่สามารถระบุออกมาได้แน่ชัดว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คืออะไร ถ้าให้ตอบจริงๆก็จะบอกว่าอยากมีเงินเยอะ อยากมีเวลา อยากทำอะไรก็อยากทำ แต่ก็จะคำถามต่อไปคือ ที่ว่าอยากมีเงินยอะๆ เยอะเท่าไหร่ อยากเอาเวลาไปทำอะไร แล้วที่ว่าอะไรที่อยากทำจริงๆแล้วต้องการทำอะไร เชื่อหรือไม่ว่าคนส่วนใหญ่จะตอบแบบละเอียดไม่ได้เลยเพราะพวกเขาไม่ได้สอนให้รู้จักความสำคัญของเป้าหมายตั้งแต่ตอนเริ่มต้นชีวิต อีกเหตุผลคือคนเรามักจะมีความรู้สึกกระอักกระอ่วนหรือแรงต่อต้านจากภายในกับสิ่งที่เราต้องการที่มันดูเกินตัวเกินความสามารถของตัวเอง ณ ตอนนั้น ในขณะเดียวกันหากศึกษาจากชีวิตคนอื่นที่เขานำประวัติตัวเองมาเขียนมาเล่า หรือเรื่องราวของคนที่มีคนพูดถึงเยอะๆ คนที่ประสบความสำเร็จ จะพบว่าแทบทุกคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเป้าหมายในชีวิต รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เป้าหมาย หากมองผิวเผิน บางทีมันง่ายและอยู่ใกล้เราซะเรามองข้ามมันไป ไม่เชื่อว่ามันจะมีความสำคัญมากขนาดนั้น…

ผู้คิดและผู้พิสูจน์ – เมื่อเราเชื่ออย่างไรเราก็จะพิสูจน์จนสำเร็จว่าความจริงเป็นอย่างที่เราเชื่อ

เนื้อหาต่อไปนี้สรุปจากบทแรกของหนังสือ Prometheus Rising ของ Robert Anton Wilson ว่าด้วยเรื่องที่ว่าเมื่อเราเชื่ออย่างไรตัวเราก็จะพยายามพิสุจน์ให้ได้ว่ามันเป็นจริงตามที่เราเชื่อนั้นก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนดีกว่าว่าหนังสือ Prometheus Rising มันคือหนังสือเกี่ยวกับอะไร Prometheus Rising เป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526) เขียนโดย Robert Anton Wilson ซึ่งเป็นผู้แต่งหนังสือและนักปรัชญาชาวอเมริกันที่มีผลงานที่หลากหลายในเรื่องของความรู้ทางปรัชญาและจิตวิทยา หนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและการเสริมสร้างความตระหนักของมนุษย์ โดยเน้นไปที่กระบวนการในการเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมของบุคคล ผ่านการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การใช้ความรู้ทางจิตวิทยา การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสัญชาตญาณ และการฝึกปฏิบัติธรรม หนังสือนี้มอบเครื่องมือและแนวคิดที่ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจด้านภาพนิ่งของจิตใจและวิธีการที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยการเรียนรู้จากประสบการณ์และการเข้าใจในระบบการตระหนักที่ซับซ้อนของมนุษย์ การอ่านหนังสือนี้สามารถเป็นการเปลี่ยนแปลงในการมองโลกและการรับรู้ความเป็นจริงของบุคคลได้อย่างมีความรู้สึก นอกจากนั้นยังได้ช่วยเปิดโปรงใจและเสริมความเข้าใจในเรื่องของจิตวิทยา และการทำงานของจิตใจที่ซับซ้อนของมนุษย์ โดยการนำเสนอแนวคิดและเทคนิคที่ช่วยในการเสริมสร้างความตระหนักและการเปลี่ยนแปลงความคิด หนังสือเล่มไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเพ้อฝัน แต่ใช้หลักการทางจิตวิทยามาอธิบาย ผู้อ่านได้รับการกระตุ้นให้สังเกตและเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของพฤติกรรมและเชิงอารมณ์ของมนุษย์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการมองโลกและการต่อสู้กับความเชื่อที่มีอยู่ในสังคม…

จินตนาการ (Imagination): พลังงานที่มองไม่เห็นที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นจริงในชีวิตของคุณ

คุณลองนึกภาพออกไหมว่า เคยมีบางสถานการณ์ที่คุณคิดอยากทำนั่นอยากได้นี่ คุณคิดเล่นๆ คิดในจินตนาการ คุณเห็นภาพมันชัดเจนในใจ ผ่านไปซักพัก สิ่งที่คุณคิดมันดันกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการฝันไปเที่ยวต่างประเทศ การได้เปลี่ยนงานใหม่ การได้รถใหม่ บ้านใหม่ หรือได้ไปปะทะไหล่ดารานักร้องดังที่คุณชื่นชอบ โดยที่คุณเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นจริงได้ นี่แหละที่เขาเรียกว่า จินตนาการคือจุดกำเนิดของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทุกอย่าง ลองนึกถึงเรื่องของพี่น้องตระกูลไรท์ ออร์วิลล์และวิลเบอร์ (Wright brothers) สองพี่น้องธรรมดาๆ ที่มีวิสัยทัศน์ไม่ธรรมดา พวกเขาฝันถึงสิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นไปไม่ได้ หรือมนุษย์กำลังบินได้ ด้วยความมุ่งมั่น จินตนาการของพวกเขาก็ได้ให้กำเนิดเครื่องบินลำแรกในปี 1903 เปลี่ยนโฉมวงการการบินไปตลอดกาล หรือลองคิดถึง เจ.เค. โรว์ลิ่ง (J. K. Rowling) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ว่างงาน จนต้องรับเงินสงเคราะห์จากรัฐบาล เธอมีความคิด จินตนาการถึงเด็กชายพ่อมดชื่อ ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ ถึงแม้จะโดนปฏิเสธหลายต่อหลายครั้ง…

บอกตัวเองซ้ำๆย้ำว่า “ฉันรวย”: วิธีเปลี่ยนความคิดให้รวยขึ้นมาจริงๆ

หากเปรียบกับแม่เหล็กที่ดึงดูดเหล็กเข้ามาหาตัวได้ คุณเองก็สามารถดึงดูดความมั่งคั่งเข้ามาในชีวิตได้ด้วยพลังแห่งการยืนยันเชิงบวก เตรียมตัวพบกับวิธีการสร้างแรงดึงดูดทางการเงินด้วยมนตราแห่งความร่ำรวยจากจักรวาล ลองนึกภาพตัวคุณกำลังปรับสวิตช์ความคิดเพื่อดึงดูดความอุดมสมบูรณ์อย่างง่ายดาย แต่คุณอาจสงสัยว่าจะทำอย่างไร? อะไรคือเคล็ดลับสู่แรงดึงดูดอันทรงพลังนี้?

The Kybalion: เจาะลึกหลักการ 7 ประการ (อย่างละเอียด) ว่าจะพลิกชีวิตของคุณได้อย่างไร

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับผู้คนนับไม่ถ้วนที่ได้นำเอาหลักการเหล่านี้มาใช้ในการแสวงหาการเติบโตทางจิตวิญญาณและการเปลี่ยนแปลงตนเองในด้านต่างๆรวมถึงการเงินและความมั่งคั่ง คุณพร้อมหรือยังที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาและปลดล็อกความลับที่ดึงดูดเหล่าปราชญ์และผู้แสวงหามาตลอดประวัติศาสตร์

ศิลปะแห่งการสวมบทบาทว่าตัวเรามั่งร่ำรวยแล้ว (Mastering the Law of Assumption)

หลังจากที่เราได้นำเสนอกฏแห่งการสมมุติ The Law of Assumption มาได้ซักพักแล้วก็ถึงเวลาแล้วที่จะเอาไปประยุคต์ใช้และให้ได้ผลในชีวิตจริง วันนี้เราจะมาพูดถึงศิลปะแห่งการสมมติ (The Art of Assuming) เป็นเนื้อหาที่ทาง sedtee.com จะนำเสนอเพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่เจาะลึกถึงพลังของการตั้งสมมติฐานเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณครั้งใหญ่อย่างเหลือเชื่อ เทคนิคนี้มีพื้นฐานมาจากกฏแห่งการสมมุติ หากคุณอยากรู้ว่ามันคืออะไรเราแนะนำให้เข้าไปอ่านเนื้อหานี้ได้ที่ The Law of Assumption ของ Neville Goddard และอีกบทหนึ่งเป็นเนื้อที่มาที่ไปของความลับจักรวาลอันนี้ ไขความลับโบราณสู่การสร้างความจริงผ่าน The Law of Assumption โดย Harvey Spencer Lewis เชื่อได้ว่าไม่มีเนื้อหาภาษาไทยบนอินเตอร์เน็ตที่ไหนที่จะมีเนื้อหาที่ท้าทายในลักษณะแบบมาก่อน และเป็นเนื้อหาที่มีคนเข้าใจเพียงกลุ่มเล็กๆเท่านั้น หากคุณสนใจที่จะเปิดโลกใหม่กับวิธีการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยจากภายในสู่ภายนอก ขอแจ้งไว้ก่อนบทนี้จะมีเนื้อหาที่ยาวมาก หากคุณเป็นสายอ่านและอ่านจบรับรองว่าจะได้มุมมองใหม่และและเทคนิคการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยจากข้างในอย่างละเอียด ซึ่งจะเปลี่ยนชีวติคุณไปตลอดกาล เมื่อพร้อมแล้วก็มาร่วมเดินทางด้วยกันได้เลยครับ…