ทุกคนอยากรวย และการจะรวยได้นั้นมีอยู่ไม่กี่วิธี วิธีหนึ่งที่ทำได้และควรทำคือ “การลงทุน”
ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยสีสันและความตื่นเต้น เคยไหมครับที่ความฝันอันหอมหวานของการ “รวยเร็ว” ผ่านตลาดหุ้นมันก้องอยู่ในหัวใจของเรา?
เราต่างได้ยินเรื่องเล่าของเพื่อน, ของคนรู้จัก, หรือกระทั่งเซียนหุ้นในโลกออนไลน์ที่สามารถเปลี่ยนเงินหลักหมื่นเป็นหลักล้านได้ในชั่วข้ามคืนด้วยการเลือกหุ้นถูกตัว พวกเขาเจอ ‘หุ้น 10 เด้ง’ ที่เปลี่ยนชีวิตได้ และภาพนั้นก็ดูเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน
ความฝันนี้ผลักดันให้นักลงทุนหน้าใหม่ (และอาจจะรวมถึงหน้าเก่า) จำนวนมากกระโจนเข้าสู่ตลาดด้วยความหวังเต็มเปี่ยม พวกเขาเฝ้าติดตามข่าวสาร, ไล่ล่าหาหุ้น “ตัวฮอต” ที่กำลังเป็นกระแส, เข้ากลุ่มไลน์เพื่อรอรับ “โพยหุ้นเด็ด” และทุ่มเงินก้อนใหญ่ลงไปในหุ้นตัวเดียวโดยหวังว่ามันจะไปสู่ดวงจันทร์ หรือ To the Moon กลายเป็นหุ้น 2 เด้ง, 3 เด้ง, 5 เด้ง, หรือแม้กระทั่ง 10 เด้งในระยะเวลาอันสั้น
แต่ความเป็นจริง… มันไม่ได้ราบรื่นและสวยหรูเหมือนในความฝันเสมอไป
การเดิมพันกับหุ้นเพียงไม่กี่ตัวเปรียบเสมือนการเดินบนเส้นด้ายที่ขึงอยู่ระหว่างตึกสูง ใช่ครับ… ถ้าคุณเดินไปถึงฝั่งได้สำเร็จ รางวัลมันยิ่งใหญ่และน่าเฉลิมฉลอง แต่ความเสี่ยงที่จะร่วงหล่นลงมามันก็สูงลิบลิ่วไม่แพ้กัน
หุ้นที่เคยเป็น ‘ดาวรุ่งพุ่งแรง’ ในวันนี้ อาจกลายเป็น ‘ดาวร่วง’ ในวันพรุ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย เมื่อกระแสจางลง, ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน, หรือมีข่าวร้ายเข้ามากระทบ ราคาที่เคยพุ่งทะยานก็อาจดิ่งลงเหว และที่เจ็บปวดกว่านั้นคือ หุ้นหลายตัวเมื่อร่วงลงไปแล้ว ก็อาจจะใช้เวลาหลายปี หรืออาจจะ ‘ไม่เคย’ กลับขึ้นไปที่จุดเดิมได้อีกเลย ปล่อยให้นักลงทุนที่เข้าไปตอนราคาสูงๆ ต้อง ‘ติดดอย’ ไปอย่างยาวนานพร้อมกับความหวังที่ริบหรี่ลงทุกวัน เราต่างก็เห็นตัวอย่างหุ้นแบบนี้ผ่านตามานับไม่ถ้วนในตลาดหุ้นบ้านเรา
เมื่อมองมาที่ตลาดหุ้นไทย (SET) สถานการณ์ก็ยิ่งดูท้าทายมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่ว่าอนาคตของหุ้นไทยจะมืดมนนะครับ ธุรกิจดีๆที่เติบโตก็ยังมีอยู่ แต่หากเรามองดูสถิติในภาพใหญ่ ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ดัชนีตลาดหุ้นไทยแทบจะเคลื่อนไหวแบบ Sideways หรือเติบโตช้ามากเมื่อเทียบกับตลาดโลก หรือแม้กระทั่งตลาดของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่ตลาดหลักทรัพย์ของเขาเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แล้วทางออกคืออะไร? เราควรจะยอมแพ้ต่อความฝันที่จะสร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนหรือ?
คำตอบคือ ‘ไม่’ ครับ แต่เราอาจจะต้องเปลี่ยนมุมมองและหันไปมองในที่ที่มี ‘หลักฐาน’ และ ‘สถิติ’ รองรับอย่างชัดเจน นั่นก็คือ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ต้องขอย้ำตรงนี้ก่อนว่า การที่เราพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกา ไม่ได้กำลังจะชวนให้ทุกคนแห่ไปลงทุนเพียงเพราะกระแสที่กำลังบูมสุดขีดในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมาของ AI หรือเทรนด์ร้อนแรงอื่นๆ แต่เหตุผลที่เรามองไปที่นั่นมันลึกซึ้งและหนักแน่นกว่านั้นมากครับ
เพราะถ้าเรามองย้อนกลับไปที่สถิติที่เชื่อถือได้และสั่งสมมานานนับร้อยปี จะเห็นว่าตลาดหุ้นอเมริกา โดยเฉพาะดัชนีอย่าง S&P 500 (ซึ่งก็คือการรวมตัวของ 500 บริษัทที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุด) หรือ หรือ Nasdaq 100 (ที่ประกอบไปด้วยบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น Nasdaq สหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมเอาหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 100 อันดับแรก จึงเปรียบเสมือนดัชนีที่เป็นตัวแทนของบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำของโลก)ได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามันคือ ‘เครื่องจักรผลิตความมั่งคั่ง’ ที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลก
แม้ระหว่างทางจะมีวิกฤตการณ์ร้ายแรง, ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession), หรือช่วงที่ตลาดร่วงลงอย่างหนัก แต่สุดท้ายแล้ว ตลาดก็จะสามารถฟื้นตัวและกลับขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอ ดังที่หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายไว้

นี่คือจุดที่แนวคิดของ John C. Bogle ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เข้ามามีบทบาทสำคัญ เขาเสนอว่า แทนที่เราจะพยายามเสี่ยงโชคเลือกหุ้นเป็นรายตัว ทำไมเราไม่เลือกเป็นเจ้าของ ‘ตลาดทั้งตลาด’ ไปเลยล่ะ? การลงทุนในตลาดทั้งหมด หรือที่เรียกว่า ‘กองทุนดัชนี’ (Index Fund) จึงเป็นอะไรที่ปลอดภัยและแน่นอนกว่าการทุ่มเงินไปกับหุ้นเพียงตัวเดียว
จากสถิติที่ผ่านมา หากคุณลงทุนในดัชนี S&P 500 และถือมันไว้ยาวนานพอ ไม่ว่าจะเป็น 10 ปี, 20 ปี, หรือ 30 ปี โอกาสที่คุณจะได้ผลตอบแทนเป็นบวกนั้นแทบจะเรียกได้ว่า 100% ขอเพียงแค่คุณมีความแข็งแกร่งทางจิตใจมากพอที่จะ ‘อดทน’ ถือต่อไปในช่วงที่ตลาดร่วงหนักๆ และไม่เทขายออกมาด้วยความตื่นตระหนก เพราะตามสถิติแล้ว ตลาดจะกลับมาเสมอ
การลงทุนในดัชนีที่ว่านี้ โดยหลักๆ แล้วเราสามารถทำได้ผ่านเครื่องมือ 2 ประเภท คือ กองทุนรวม (Mutual Fund) และ ETF (Exchange-Traded Fund)
- กองทุนรวม (Mutual Fund): ลองนึกภาพว่ามันคือ “ตะกร้า” ที่มีผู้จัดการกองทุนคอยเลือกสินทรัพย์ (เช่น หุ้นในดัชนี S&P 500) มาใส่ไว้ให้เราตามนโยบายที่กำหนด เราซื้อขายหน่วยลงทุนของตะกร้านี้ได้วันละ 1 ครั้ง ณ ราคาปิดทำการ
- ETF (Exchange-Traded Fund): นี่ก็เป็น “ตะกร้า” ที่บรรจุสินทรัพย์เหมือนกัน แต่เป็นตะกร้าที่เราสามารถนำไปซื้อขายในตลาดหุ้นได้เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่งเลย ทำให้เราสามารถซื้อขายได้ตลอดทั้งวันในราคาตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ ซึ่งให้ความยืดหยุ่นและสะดวกสบายมากกว่า
ถึงแม้จะมีหลักฐานและสถิติมากมายที่ยืนยันว่าการลงทุนใน Index Fund นั้นปลอดภัยกว่า, ชัวร์กว่า, และแทบจะการันตีผลตอบแทนในระยะยาวได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมองว่ามันเป็นการลงทุนที่ “น่าเบื่อ” เพราะมันเห็นผลช้า ไม่ได้ให้ความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจเหมือนการลุ้นให้หุ้นรายตัวราคาพุ่งพรวด พวกเขายังคงมุ่งมั่นกับการวิเคราะห์และลงทุนในหุ้นรายตัวอย่างเข้มข้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเพราะถ้าคุณเลือกถูกตัว ผลตอบแทนที่ได้มันก็งดงามและสามารถสร้างความร่ำรวยได้อย่างรวดเร็วจริงๆ
แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนใน Index Fund ก็เปรียบเสมือนการสร้าง ‘ฐานที่มั่น’ ที่แข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอของคุณ เพราะคุณรู้ว่าในอนาคตข้างหน้า เงินก้อนนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน
แม้แต่นักลงทุนระดับตำนานอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านการเลือกหุ้นรายตัว ก็ยังเคยกล่าวไว้ว่า สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่แล้ว การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 ที่มีต้นทุนต่ำ และตัวเขาเองก็ยังแนะนำในพินัยกรรมให้ภรรยาของเขานำเงินมรดกส่วนใหญ่ไปลงทุนในกองทุนดัชนีเช่นกัน
สิ่งนี้ตอกย้ำปรัชญาของเขาที่ว่า การลงทุนที่ดีคือการซื้อธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสมและถือมันไปนานๆ อาจจะ 10 ปี, 20 ปี, หรือตลอดไป
และเบื้องหลังความสำเร็จของการลงทุนระยะยาวนี้ มีกลไกมหัศจรรย์อย่างหนึ่งทำงานอยู่ นั่นคือ ‘พลังของการทบต้น’ (Compounding)
นี่คือเครื่องจักรผลิตความมั่งคั่งที่แท้จริงที่ทำให้เงินของคุณเพิ่มพูนขึ้นตามกาลเวลา ในช่วงแรกๆ มันอาจจะดูช้าและเติบโตน้อยนิดจนน่าใจหาย ผลตอบแทนที่ได้อาจจะดูไม่คุ้มค่ากับการรอคอย แต่ขอเพียงคุณอดทนและลงทุนเพิ่มเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง มันจะเริ่มพอกพูนและเติบโตเร็วขึ้นในอัตราเร่ง คล้ายกับลูกบอลหิมะที่กลิ้งลงมาจากยอดเขา (Snowball Effect) ในตอนแรกมันอาจจะเป็นเพียงก้อนเล็กๆ แต่ยิ่งกลิ้งไปไกลเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งเก็บสะสมหิมะและขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างทวีคูณจนน่าตกใจ
หนังสือ “The Little Book of Common Sense Investing” เล่มนี้ มีเป้าหมายที่จะฉายภาพให้เห็นถึงคุณค่าและความเป็นไปได้ที่ทุกคนสามารถสร้างความมั่งคั่งได้ในที่สุดผ่านการลงทุนใน Index Fund โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ETF ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพ เขาต้องการจะบอกเราว่า ‘อิสรภาพทางการเงิน’ ไม่ได้เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเซียนหุ้นหรือคนที่มีเงินทุนมหาศาล
แต่มันเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสร้างได้ ขอเพียงแค่เรามีสองสิ่งสำคัญ นั่นคือ ความอดทน (Patience) ที่จะรอคอยให้พลังของการทบต้นทำงาน และ ความสม่ำเสมอ (Consistency) ในการลงทุนต่อไปตามแผนที่วางไว้โดยไม่หวั่นไหวไปกับเสียงรบกวนในระยะสั้น
เนื้อหาทั้งหมดที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ คือบทสรุปแก่นความคิดของ John C. Bogle ที่จะนำทางคุณให้เข้าใจถึงวิธีการลงทุนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้ ตั้งแต่การทำความเข้าใจว่าทำไมนักลงทุนส่วนใหญ่ถึงล้มเหลว, การเรียนรู้ที่จะควบคุมต้นทุนและภาษี, ไปจนถึงการจัดสรรสินทรัพย์อย่างเหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถเดินบนเส้นทางสู่ความสำเร็จทางการเงินได้อย่างมั่นคงและสบายใจครับ

บทที่นำ: อย่าเปลี่ยนเกมของผู้ชนะให้กลายเป็นเกมของผู้แพ้
บทนำ “อย่าเปลี่ยนเกมของผู้ชนะให้กลายเป็นเกมของผู้แพ้” สื่อสารแนวคิดสำคัญที่นักลงทุนทุกรายควรตระหนักและนำไปปฏิบัติ นั่นคือ การลงทุนในตลาดหุ้นควรเป็นเกมของผู้ชนะ ที่ทุกคนสามารถรับผลตอบแทนจากการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวได้อย่างเป็นธรรม ถ้าเลือกแนวทางที่ถูกต้อง
Bogle เตือนว่าปัญหาคือ นักลงทุนส่วนใหญ่ทำให้ “เกมของผู้ชนะ” กลายเป็น “เกมของผู้แพ้” ด้วยตัวเอง อันเนื่องมาจากพฤติกรรมวิ่งไล่ตามกระแส ผลงานระยะสั้น การซื้อขายบ่อย ค่าธรรมเนียมและภาษีที่สูง จนในที่สุดกำไรแทบไม่เหลือ การพยายามเอาชนะตลาดด้วยการเลือกหุ้นเด่นหรือกองทุนบริหารแบบแอคทีฟ มักจบลงด้วยผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเฉลี่ยเสียอีก เพราะหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดโดยรวม
ทางออกตามแนวทางของ Bogle คือ “ลงทุนแบบสามัญสำนึก” (Common Sense Investing) นั่นคือ การซื้อและถือกองทุนดัชนี (Index Fund) ต้นทุนต่ำ ซึ่งสะท้อนตลาดทั้งตลาด ไม่ต้องพยายามเดากระแส ไม่ต้องเลือกผู้ชนะเป็นรายตัว แต่ให้เป็นเจ้าของธุรกิจทุกบริษัทในตลาดโดยรวม การลงทุนรูปแบบนี้ทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดจริงๆ มั่นคงในระยะยาว ไม่ถูกกัดกร่อนด้วยต้นทุน “ตัวช่วย” ที่ไม่จำเป็น
สรุปแล้ว เกมการลงทุนสำหรับผู้ชนะนั้นเรียบง่าย ไม่ใช่การแข่งกับใครหรือโชค แต่คือการควบคุมต้นทุน กระจายความเสี่ยง ให้เวลากับการทบต้น และลงทุนในสิ่งที่พิสูจน์มาแล้วว่าสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น “สามัญสำนึก” ที่นักลงทุนควรยึดถืออย่างแท้จริง
นักลงทุนทุกคนฝันถึงการสร้างความมั่งคั่ง แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น พวกเขาก็มักจะพบกับโลกที่ชวนให้สับสนงุนงงไปหมด
มีทางเลือกเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม, เฮดจ์ฟันด์, กองทุน ETF, หุ้นเด็ดจากวงใน หรือคำสัญญาว่าจะรวยทางลัด ข่าวการเงินต่างก็ตะโกนบอกเราว่าวันนี้มีหุ้นร้อนตัวไหนน่าซื้อ แล้วพรุ่งนี้ต้องระวังตลาดจะพังทลาย ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ‘เสียงรบกวน’ ที่มีแต่จะทำให้เราไขว้เขว และสำหรับนักลงทุนธรรมดาๆ ทั่วไป เสียงรบกวนเหล่านี้มักนำไปสู่ความผิดพลาด
John C. Bogle ผู้ก่อตั้ง Vanguard และผู้บุกเบิกแนวคิดเรื่องกองทุนดัชนี (Index Fund) เชื่อว่าการลงทุนไม่ควรจะเป็นการวิ่งไล่ตามกระแสล่าสุด ไม่ใช่การพนันกับโชคชะตา หรือการจ่ายค่าธรรมเนียมแพงๆ ให้กับมืออาชีพที่บ่อยครั้งก็ไม่ได้ทำผลงานได้ดีอย่างที่คุยไว้
แต่หัวใจของการลงทุนควรจะอยู่บนพื้นฐานของ ‘สามัญสำนึก’ ง่ายๆ มันคือการที่เราได้เป็นเจ้าของกิจการจริงๆ ถือมันไปยาวๆ และปล่อยให้พลังของการทบต้นค่อยๆ สร้างความมั่งคั่งให้เราแบบเงียบๆ
หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนของขวัญที่เขามอบให้กับคนธรรมดาๆ อย่างเรา มันช่วยปัดเป่าภาพลวงตาและความซับซ้อนที่วงการการเงินชอบเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อขายของ และเผยให้เห็นความจริงอันแสนเรียบง่ายว่า…
ตลาดหุ้นไม่ใช่บ่อนคาสิโนที่คุณต้องคอยเล่นเกมชิงไหวชิงพริบเพื่อจะเป็นผู้ชนะ แต่มันคือกลไกที่เปิดโอกาสให้เราได้มีส่วนร่วมไปกับการเติบโตของธุรกิจและเศรษฐกิจ ถ้าคุณอดทนรอได้และจ่ายต้นทุนให้น้อยที่สุด คุณก็จะได้รับส่วนแบ่งการเติบโตนั้นไปเต็มๆ
แต่คำถามคือ… เราจะมองเห็นความจริงข้อนี้ได้ยังไง ในเมื่อโลกการเงินมันเต็มไปด้วยสิ่งที่คอยดึงความสนใจเราอยู่ตลอดเวลา?
Bogle เริ่มต้นด้วยเรื่องเล่าง่ายๆ เรื่องหนึ่งครับ… เป็นนิทานเปรียบเทียบที่ทำให้เราเห็นภาพชัดเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เวลาที่นักลงทุนวิ่งไล่ตามความตื่นเต้น และทำไมวงการการเงินถึงดูเหมือนจะเป็นผู้ชนะเสมอ ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยอย่างเรามักจะเป็นฝ่ายแพ้ เรื่องเล่านี้จะปูพื้นฐานสำคัญให้กับหนังสือทั้งเล่ม และนำเราไปสู่บทเรียนแรกของการลงทุนแบบใช้สามัญสำนึก
เอาล่ะครับ… เรามาเข้าสู่บทที่ 1 กันเลย
บทที่ 1: นิทานเปรียบเทียบ: ครอบครัวก็อตร็อกส์ (The Gotrocks Family)
ลองนึกภาพตามกันนะครับว่า เรากำลังอยู่ในงานเลี้ยงสุดหรูที่จัดขึ้นในห้องโถงแสนสวย บนโต๊ะอาหารมีจานชามและแก้วคริสตัลวาววับจัดเตรียมไว้อย่างดี และตรงกลางห้องมี ‘ขนมพายชิ้นยักษ์’ ที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นน่ากินตั้งอยู่
ขนมพายชิ้นนี้ก็คือ ‘ผลตอบแทนทั้งหมดของตลาดหุ้น’ ซึ่งมันใหญ่พอที่จะเลี้ยงทุกคนในงานได้อย่างสบายๆ แขกทุกคนในงานเลี้ยง ซึ่งก็เปรียบได้กับ ‘นักลงทุน’ ได้รับเชิญให้มาแบ่งปันขนมพายชิ้นนี้กัน
ในช่วงแรก บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข ทุกคนร่าเริง เพราะดูเหมือนว่าพายชิ้นนี้กำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็เพราะเหล่าบริษัทในตลาดหุ้นต่างก็ทำงานกันอย่างแข็งขัน ทำกำไร และขยายกิจการ ทุกคนเลยรู้สึกมั่นใจว่า เดี๋ยวตัวเองจะได้กินพายจนอิ่มหนำสำราญแน่นอน
แต่แล้ว… ก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น
ก่อนที่นักลงทุนธรรมดาๆ จะได้เข้าไปตักพายส่วนของตัวเอง ก็มีบริกรหลายคนเดินปรี่เข้ามาหาพายชิ้นนั้นก่อนใครเพื่อน บริกรเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนกับผู้จัดการกองทุน, โบรกเกอร์, นักวิเคราะห์ และคนกลางอื่นๆ ในวงการการเงินนั่นแหละครับ
บริกรแต่ละคนเริ่มลงมือเฉือนพายชิ้นนั้นไปเป็นของตัวเองทีละเล็กทีละน้อย โบรกเกอร์เฉือนไปชิ้นหนึ่งเป็นค่าคอมมิชชัน ผู้จัดการกองทุนก็ตัดไปอีกชิ้นเป็นค่าบริหารจัดการกองทุน แม้แต่พี่สรรพากรก็เดินมาเงียบๆ แล้วหยิบส่วนของตัวเองไปอีกชิ้น… พายที่เคยดูชิ้นใหญ่โตก็เริ่มเล็กลง… เล็กลง…
พอถึงตาที่นักลงทุนธรรมดาจะได้เข้าไปตักส่วนแบ่งของตัวเองบ้าง เขาก็พบว่าพายที่เหลืออยู่มันเล็กกว่าที่คาดไว้เยอะเลย
นี่แหละครับ คือความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการลงทุน
ตัวตลาดหุ้นเองน่ะ ให้ผลตอบแทนที่งดงามอยู่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทต่างๆ เติบโต มีการจ่ายเงินปันผล ทำให้ขนมพายของเราขยายขนาดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่กว่าจะมาถึงมือเรา หลังจากที่โดนหักค่าธรรมเนียมการซื้อขาย, ค่าจัดการต่างๆ, และภาษีไปแล้ว พายส่วนของเราก็โดนกินไปซะเกือบเกลี้ยง
นิทานเรื่องนี้ไม่ใช่เทพนิยายนะครับ แต่มันคือความจริงที่เกิดขึ้นทุกวันกับคนนับล้านที่เอาเงินไปฝากความหวังไว้กับกองทุนค่าธรรมเนียมแพงๆ และกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อน
John Bogle ใช้เรื่องเล่านี้เพื่อสอนบทเรียนง่ายๆ ให้กับเราว่า: ถ้าคุณอยากจะเก็บเนื้อพายไว้กับตัวเองให้ได้มากที่สุด คุณก็ต้องลดจำนวนมือที่มาหยิบฉวยมันให้น้อยลง
นั่นหมายถึง การเลือกจ่ายค่าธรรมเนียมให้น้อยที่สุด, หลีกเลี่ยงการซื้อๆ ขายๆ โดยไม่จำเป็น และมุ่งมั่นกับการลงทุนระยะยาว ตัวตลาดเองน่ะให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่แล้ว แต่วงการการเงินที่อยู่รอบๆ ตลาดต่างหากที่มักจะสูบฉีดมูลค่าออกไปมากกว่าที่สร้างให้ด้วยซ้ำ
ลองคิดแบบนี้ดูครับ… ถ้าคุณลงทุนในกองทุนที่คิดค่าธรรมเนียมแพงๆ ก็เหมือนคุณเชิญบริกรจอมตะกละมาคอยตัดพายของคุณก่อนที่คุณจะได้ชิมเสียอีก ถ้าคุณซื้อขายบ่อยๆ เพื่อจ่ายค่าคอมมิชชันกับภาษี ก็เหมือนคุณยอมให้คนแปลกหน้ามากหน้าหลายตามาคอยแทะเล็มจานของคุณไปเรื่อยๆ พอเวลาผ่านไปเป็นสิบๆ ปี การแทะเล็มทีละนิดทีละหน่อยนี่แหละ ที่ทำให้ความมั่งคั่งของคุณหดหายไปอย่างน่าใจหาย
ในทางกลับกัน ถ้าคุณเลือกที่จะ ‘ซื้อและถือ’ การลงทุนที่สะท้อนภาพรวมของทั้งตลาดโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ พายของคุณก็จะยังอยู่ครบถ้วน พลังของการทบต้นก็จะทำงานได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพื่อคุณคนเดียว
นิทานเรื่องนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความย้อนแย้งอย่างหนึ่งด้วยนะครับ ในภาพรวมแล้ว นักลงทุน ‘ทุกคนรวมกัน’ ยังไงก็ต้องได้รับผลตอบแทนเท่ากับตลาดอยู่แล้วตามคำนิยาม ถ้าปีไหนตลาดหุ้นโต 10% นักลงทุนทุกคนรวมกันก็จะได้รับผลตอบแทน 10% นั้น (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) แต่พอหักค่าธรรมเนียม, ค่าใช้จ่าย, และภาษีออกไปแล้ว ผลตอบแทนเฉลี่ยที่นักลงทุนแต่ละคนได้รับจริงๆ กลับน้อยกว่านั้น
นี่หมายความว่า วงการการเงินทั้งระบบได้หยิบเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่ควรจะเป็นของนักลงทุนไปเป็นของตัวเอง มันเหมือนบ่อนคาสิโนที่ ‘เจ้ามือชนะเสมอ’ ยังไงยังงั้นเลย ทางเดียวที่คุณจะชนะในฐานะนักลงทุนได้ก็คือ ‘การปฏิเสธที่จะเล่นเกมที่ต้นทุนสูง’ เหล่านี้ แล้วหันมาทำอะไรที่มันเรียบง่าย นั่นคือการเป็นเจ้าของตลาดเสียเอง
เรื่องเล่าของ Bogle ไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้เรากลัวนะครับ แต่มีไว้เพื่อปลุกให้เราตื่นต่างหาก และความจริงมักจะทำให้เราเป็นอิสระ
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าพายมันถูกแบ่งกันอย่างไร เราก็สามารถเลือกที่จะปกป้องพายส่วนของเราได้ เราสามารถเดินออกมาจากกองทุนและโบรกเกอร์ที่คิดค่าบริการแพงๆ แล้วหันมาลงทุนโดยตรงใน ‘กองทุนดัชนี’ ที่มีต้นทุนต่ำแทน กองทุนพวกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีค่าใช้จ่ายน้อยนิด, เสียภาษีน้อยที่สุด, และให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับการเติบโตที่แท้จริงของตลาดมากที่สุด
ความงดงามของบทเรียนนี้ก็คือ มันไม่ต้องอาศัยพรสวรรค์พิเศษอะไรเลย ไม่ต้องมีทักษะการทำนายอนาคต และไม่ต้องรู้ข้อมูลวงใน แค่ใช้สามัญสำนึกล้วนๆ: เป็นเจ้าของตลาด, รักษาต้นทุนให้ต่ำ, และอยู่กับมันไปให้นานที่สุด
นี่คือปัญญาที่ได้จากนิทานเรื่องนี้ครับ
และมันก็นำเราไปสู่แนวคิดถัดไปอย่างเป็นธรรมชาติว่า… ถ้าตลาดมันให้ผลตอบแทนที่มั่นคงจริงๆ ถ้าพายมันขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยตัวมันเอง แล้วทำไมนักลงทุนจำนวนมากถึงยังวิ่งไล่ตามความตื่นเต้นและกระแสระยะสั้นกันอยู่อีกล่ะ?
ในบทต่อไป Bogle จะแนะนำให้เรารู้จักกับแนวคิดที่เรียกว่า ‘ความเบิกบานใจอย่างมีเหตุผล’ (Rational Exuberance) ซึ่งมันไม่ใช่ความลิงโลดใจจากการเก็งกำไร แต่เป็นความสุขและความมั่นใจที่ได้จากการเป็นเจ้าของกิจการในระยะยาวแบบเรียบง่ายครับ
บทที่ 2: ความเบิกบานใจอย่างมีเหตุผล
ในโลกของการลงทุน เรามักจะได้ยินคำว่า ‘ฟองสบู่’ (Bubbles), ‘ความคลุ้มคลั่ง’ (Manias) และ ‘ความเบิกบานใจที่ไร้เหตุผล’ (Irrational Exuberance) กันอยู่บ่อยๆ
ช่วงเวลาเหล่านี้คือตอนที่ฝูงชนขาดสติ วิ่งไล่ตามราคาที่พุ่งสูงขึ้น และเชื่อว่าตลาดจะวิ่งขึ้นไปตลอดกาล ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยเหตุการณ์ทำนองนี้ ตั้งแต่ยุคคลั่งดอกทิวลิปในฮอลแลนด์ช่วงศตวรรษที่ 17 มาจนถึงฟองสบู่ดอทคอมเมื่อต้นยุค 2000 มนุษย์เราแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนในเรื่องความหลงใหลในการเก็งกำไรสุดขั้วครั้งแล้วครั้งเล่า และผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง… มีคนส่วนน้อยที่รวยขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่คนส่วนใหญ่กลับเหลือไว้เพียงความฝันที่แตกสลายและกระเป๋าตังค์ที่ว่างเปล่า
John Bogle ชวนให้เราลองพิจารณาแนวทางที่ตรงกันข้ามดูบ้าง…
แทนที่จะเป็นความเบิกบานใจที่ไร้เหตุผล จะเป็นยังไงถ้าเราหันมา embrace หรือน้อมรับเอา ‘ความเบิกบานใจอย่างมีเหตุผล’ (Rational Exuberance) เข้ามาแทน? จะเป็นยังไงถ้าความตื่นเต้นของเราไม่ได้มาจากการพนันกับการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น แต่มาจากความเชื่อมั่นในการเติบโตที่มั่นคงและแทบจะแน่นอนของภาคธุรกิจตลอดช่วงเวลาหลายสิบปี?
ความเบิกบานใจอย่างมีเหตุผล คือการที่เราเชื่อมั่นในพลังของระบบทุนนิยมโดยตัวของมันเอง
มันคือการที่เรามีความสุขกับข้อเท็จจริงที่ว่า ในทุกๆ เช้า มีผู้คนหลายล้านคนตื่นนอน, ออกไปทำงาน, คิดค้น, ผลิต, ขายของ, และสร้างผลกำไร ตราบใดที่พลังงานและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ยังคงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า ธุรกิจก็จะเติบโต และตราบใดที่ธุรกิจยังเติบโต ผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของก็จะได้รับส่วนแบ่งจากความเจริญรุ่งเรืองนั้นไปด้วย
ลองคิดถึงคณิตศาสตร์ง่ายๆ ของการลงทุนระยะยาวดูสิครับ ถ้าบริษัทหนึ่งสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ทุกปีและจ่ายเงินปันผลออกมาเรื่อยๆ ในระยะยาวแล้ว มูลค่าของหุ้นบริษัทนั้นก็จะสะท้อนความจริงข้อนี้ออกมาเอง
ผลงานแย่ๆแค่ปีเดียวไม่ได้มีความหมายอะไรเลย การที่ราคาหุ้นร่วงลงอย่างกะทันหันก็ไม่ได้ลบล้างมูลค่าของการเติบโตที่สั่งสมมานานหลายสิบปี สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือ ‘แรงดึงขึ้นอย่างต่อเนื่องของกำไรทางธุรกิจ’ ต่างหาก
ความเบิกบานใจอย่างมีเหตุผล คือการที่เราเฉลิมฉลองไปกับแนวโน้มระยะยาวนี้ แทนที่จะไปติดกับดักของเสียงรบกวนในระยะสั้น
Bogle ยังย้ำเตือนเราด้วยว่า ตลาดหุ้นถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ มันไม่ได้สะท้อนแค่ผลกำไร แต่ยังสะท้อนอารมณ์, ความกลัว, และความโลภออกมาด้วย ราคาหุ้นเคลื่อนไหวทุกวินาที แต่มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ นักลงทุนที่มีเหตุผลจะไม่สับสนระหว่าง ‘ราคาบนกระดาน’ กับ ‘ความเป็นจริง’ พวกเขาเข้าใจดีว่า…
“ในระยะสั้น ตลาดหุ้นคือเครื่องลงคะแนนเสียง (Voting Machine) ที่ขับเคลื่อนด้วยความนิยม แต่ในระยะยาว มันคือเครื่องชั่งน้ำหนัก (Weighing Machine) ที่วัดน้ำหนักที่แท้จริงของกำไรบริษัท”
แนวคิดนี้ซึ่งยืมมาจาก Benjamin Graham ถือเป็นหัวใจสำคัญในปรัชญาของ Bogle เลยครับ
เมื่อคุณคิดถึงตลาดหุ้นอย่างมีเหตุผล คุณจะเห็นว่ามันคือ ‘เครื่องจักรแห่งการเติบโตที่มีชีวิต’ ธุรกิจสร้างสินค้า, บริการ, และตำแหน่งงาน ส่วนนักลงทุนก็เป็นผู้ให้เงินทุนที่คอยหล่อเลี้ยงวงจรนี้
ทุกคนจะได้รับประโยชน์ร่วมกันเมื่อต้นทุนถูกทำให้ต่ำ และการเป็นเจ้าของถูกกระจายออกไปในวงกว้าง ความเบิกบานใจในความหมายนี้จึงไม่ใช่เรื่องโง่เขลาเลย แต่มันคือความฉลาด, ความมีวินัย, และการมองโลกในแง่ดีอย่างสุดซึ้งเกี่ยวกับความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ
แต่ความเบิกบานใจอย่างมีเหตุผลก็มีคำเตือนแฝงอยู่ในตัวเช่นกัน มันบอกเราว่าอย่าหลับหูหลับตาต่อความเสี่ยง แต่ให้ยอมรับมันอย่างสมดุล หุ้นมีขึ้นมีลง บางครั้งก็ผันผวนรุนแรง แต่ตลอดช่วงชีวิตของเรา มันจะให้รางวัลแก่นักลงทุนที่อดทนและยังคงอยู่ในการลงทุนเสมอ
อันตรายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ความผันผวนของตลาด แต่อยู่ที่ความใจร้อนของนักลงทุนต่างหาก
ความเบิกบานใจอย่างมีเหตุผลนั้นต้องการศรัทธาในอนาคต, ความกล้าที่จะถือต่อไปในช่วงตลาดขาลง, และวินัยที่จะหลีกเลี่ยงการเก็งกำไร
วิสัยทัศน์ของ Bogle นั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลังมากครับ การเป็นเจ้าของตลาดโดยรวมผ่านกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ จะทำให้คุณได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของธุรกิจนับพันแห่งโดยอัตโนมัติ คุณจะกลายเป็น ‘หุ้นส่วน’ ในความก้าวหน้าของมนุษยชาติไปเลย ทุกๆ นวัตกรรม, ทุกๆ โรงงานที่ถูกสร้าง, ทุกๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เปิดตัว ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับคุณ นี่สิครับถึงจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างแท้จริง
เมื่อบทนี้จบลง เราก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมการมองโลกในแง่ดีในระยะยาวที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริงของโลกธุรกิจ จึงเป็นรากฐานสำคัญของการลงทุน แต่คำถามถัดไปก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ…
ถ้าตลาดหุ้นคือภาพสะท้อนของธุรกิจ และธุรกิจคือแหล่งที่มาของการสร้างความมั่งคั่งที่แท้จริงทั้งหมด แล้วเราควรจะวางตัวให้สอดคล้องกับสิ่งนี้ได้อย่างไร? เราจะเอาตัวเองไป ‘ผูกติดกับธุรกิจ’ แทนที่จะหลงทางไปกับการเก็งกำไรในตลาดได้อย่างไร?
เรื่องนี้จะนำเราไปสู่บทเรียนถัดไปโดยตรงครับ ในบทที่ 3 Bogle จะอธิบายว่าทำไมเราถึงต้อง ‘ฝากชีวิตไว้กับธุรกิจ’ ครับ
บทที่ 3: ฝากชีวิตไว้กับธุรกิจ
ลองนึกภาพตามสักครู่นะครับว่า ถ้าพรุ่งนี้ตลาดหุ้นเกิดหายวับไปกับตา ไม่มีหน้าจอเทรด, ไม่มีข่าวด่วนรายวัน, ไม่มีโบรกเกอร์มาตะโกนบอกให้ซื้อหรือขาย…
แล้วมูลค่าของธุรกิจต่างๆ จะหายไปด้วยไหม? แน่นอนว่าไม่ครับ
บริษัทต่างๆ ก็ยังคงผลิตรถยนต์, สร้างบ้าน, ขายอาหาร, และให้บริการต่างๆ เหมือนเดิม ผู้คนก็ยังคงตื่นไปทำงานทุกเช้า, โรงงานก็ยังมีเสียงเครื่องจักรเดิน, ร้านค้าก็ยังคงเปิดประตูต้อนรับลูกค้า ความเป็นจริงของโลกธุรกิจยังคงดำเนินต่อไป ไม่ว่าตลาดหุ้นจะอยู่หรือไป
นี่คือความจริงที่ John Bogle อยากให้เรามองเห็น ตลาดหุ้นเป็นเพียง ‘กระจกเงา’ บานหนึ่งเท่านั้น และบางครั้งก็เป็นกระจกที่บิดเบี้ยวด้วยซ้ำ ในระยะสั้น กระจกบานนี้อาจจะขุ่นมัวหรือมีรอยร้าว ราคาอาจพุ่งสูงเกินจริงไปมาก หรือดิ่งลงต่ำกว่าความเป็นจริงไปไกล แต่ในระยะยาว ภาพสะท้อนจะชัดเจนขึ้นเอง
มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นใดๆ ก็คือ ‘กำไรที่มันสร้างได้’ และ ‘เงินปันผลที่มันจ่ายออกมา’ เมื่อเวลาผ่านไป ราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ เหมือนกับเงาที่ตามติดตัวเจ้าของ
เมื่อคุณฝากชีวิตไว้กับธุรกิจ ก็เท่ากับคุณเลือกที่จะเป็นเจ้าของ ‘พลังในการผลิต’ ของบริษัท ไม่ใช่ ‘อารมณ์’ ของตลาด คุณกำลังประกาศว่า ‘ฉันเชื่อมั่นในการเติบโตระยะยาวของกิจการมนุษย์ ฉันไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงดวงกับการจับจังหวะตลาด หรือซื้อขายตามข่าวลือ ฉันแค่จะเป็นเจ้าของตลาดโดยรวมก็พอ เพราะตลาดหุ้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการรวมตัวกันของธุรกิจทั้งหมดนั่นเอง’
ลองคิดดูสิครับ… ถ้าคุณพยายามจะเอาชนะตลาดด้วยการซื้อๆ ขายๆ คุณก็กำลังลงสนามเดิมพันกับนักเทรดคนอื่นๆ ที่ก็กระตือรือร้นไม่แพ้คุณ มันจะกลายเป็นเกมที่ผลรวมเป็นศูนย์ (Zero-Sum Game) คือมีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย แต่เมื่อคุณแค่ ‘ถือ’ ตลาดเอาไว้เฉยๆ คุณก็ได้ก้าวออกมาจากเกมที่แสนแพงเกมนั้นแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องเดาเก่งกว่าใครอีกต่อไป แค่นั่งเฉยๆ แล้วเก็บเกี่ยวผลตอบแทนที่ภาคธุรกิจมอบให้ นี่แหละคือ ‘เกมของผู้ชนะ’ (Winner’s Game)
Bogle ใช้ประวัติศาสตร์มาพิสูจน์ประเด็นของเขา ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแต่จะปรับตัวสูงขึ้น แม้จะเคยมีทั้งสงคราม, ภาวะเศรษฐกิจถดถอย, ตลาดพัง, และความตื่นตระหนก แต่เมื่อมองในภาพใหญ่ระยะยาว ธุรกิจต่างๆ ก็ยังคงอยู่รอด, ปรับตัว, และเติบโตได้เสมอ พลังของการทบต้นจากกำไรและเงินปันผลที่นำไปลงทุนต่อ ได้มอบรางวัลให้กับผู้เป็นเจ้าของที่อดทนรอคอยเสมอมา การฝากชีวิตไว้กับธุรกิจก็คือการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกลุ่มเจ้าของที่อดทนกลุ่มนี้นั่นเอง
ทางเลือกอีกทางคือการฝากชีวิตไว้กับการเก็งกำไร การเก็งกำไรคือการเดิมพันกับการเปลี่ยนแปลงของ ‘ราคา’ แทนที่จะเป็น ‘มูลค่าที่แท้จริง’ มันเหมือนกับการเดิมพันกับระลอกคลื่นลูกต่อไปในมหาสมุทร แทนที่จะเชื่อมั่นในกระแสน้ำขึ้นน้ำลงที่มั่นคง คลื่นซัดเข้ามา, ม้วนตัว, แล้วก็สลายไป แต่กระแสน้ำจะกลับเข้ามาเสมอ… ธุรกิจคือ ‘กระแสน้ำ’ ส่วนการเก็งกำไรเป็นแค่ ‘ฟองคลื่น’ ที่อยู่บนผิวน้ำเท่านั้น
แต่ Bogle ก็ให้คำเตือนไว้ด้วย ถึงแม้ตลาดโดยรวมจะน่าเชื่อถือ แต่หุ้นรายตัวนั้นไม่ใช่ บริษัทอาจเจ๊งได้, บริษัทยักษ์ใหญ่ก็ล้มได้, อุตสาหกรรมก็หดตัวได้ นั่นคือเหตุผลที่คำแนะนำของเขาไม่ใช่การทุ่มเงินทั้งหมดของคุณไปกับหุ้นแค่ตัวสองตัว ไม่ว่ามันจะดูดีแค่ไหนก็ตาม แต่ให้เป็นเจ้าของ ‘ทุกบริษัท’ ผ่านกองทุนดัชนีที่กระจายการลงทุนในวงกว้างแทน ด้วยวิธีนี้ คุณจะได้มีส่วนร่วมในการเติบโตของผู้ชนะ พร้อมๆ กับหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเต็มๆ จากผู้แพ้
การฝากชีวิตไว้กับธุรกิจมันอาจจะไม่ดูเท่ห์ ไม่ได้ทำให้คุณรวยในชั่วข้ามคืน มันอาจจะรู้สึกน่าเบื่อเมื่อเทียบกับความตื่นเต้นของการเทรด แต่มันคือหนทางที่แน่นอนที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งด้วยเกียรติและความสบายใจ มันเป็นกลยุทธ์ที่สร้างขึ้นจากความเชื่อมั่นในภาคการผลิต, วินัยในการควบคุมต้นทุน, และความอดทนเมื่อเวลาผ่านไป
และนี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ…
ถ้าตลาดเป็น ‘เกมของผู้ชนะ’ ที่สร้างขึ้นบนรากฐานของการเติบโตทางธุรกิจจริงๆ แล้วทำไมนักลงทุนจำนวนมากถึงไม่ชนะล่ะ? ทำไมผลตอบแทนของพวกเขาถึงตามหลังตลาด ทั้งๆ ที่ตลาดก็ทำผลงานได้ดี?
นี่คือปริศนาที่ Bogle จะมาคลี่คลายในบทต่อไป ในบทที่ 4 เขาจะมาเปิดเผยให้เราเห็นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่เปลี่ยน ‘เกมของผู้ชนะ’ ให้กลายเป็น ‘เกมของผู้แพ้’ ได้อย่างไร… เราไปต่อกันที่บทที่ 4 เลยครับ
บทที่ 4: ทำไมนักลงทุนส่วนใหญ่ถึงเปลี่ยน ‘เกมของผู้ชนะ’ ให้กลายเป็น ‘เกมของผู้แพ้’
โดยธรรมชาติแล้ว ตลาดหุ้นคือ ‘เกมของผู้ชนะ’ (Winner’s Game) เมื่อเวลาผ่านไป ธุรกิจต่างๆ เติบโต กำไรเพิ่มขึ้น และตลาดโดยรวมก็จะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก แต่ก็น่าแปลกที่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่กลับสามารถเปลี่ยนความได้เปรียบที่เห็นได้ชัดๆ นี้ ให้กลายเป็นความผิดหวังส่วนตัวไปเสียได้… แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?
John Bogle ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันคือการผสมผสานกันระหว่าง ความใจร้อน, ความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป, และนิสัยที่ต้องจ่ายแพงให้กับการวิ่งไล่ตามผลงานในระยะสั้น
นักลงทุนจำนวนมากมักจะหลงใหลในความหอมหวานของกำไรก้อนโต พวกเขาได้อ่านเรื่องราวของผู้จัดการกองทุนที่เอาชนะตลาดได้ 3 ปีซ้อน หรือได้ยินเรื่องหุ้นที่ราคาพุ่งขึ้นเป็นเท่าตัวใน 6 เดือน ความตื่นเต้นก็เริ่มก่อตัวขึ้น นักลงทุนจึงรีบกระโจนเข้าไปโดยหวังว่าจะได้เจอกับเวทมนตร์แบบเดียวกันบ้าง แต่สิ่งที่ถูกมองข้ามไปก็คือ ผลงานในอดีตไม่ได้การันตีอนาคต บ่อยครั้งที่หุ้นร้อนหรือกองทุนสุดฮอตในวันนี้ กลับกลายเป็นตัวถ่วงในวันพรุ่งนี้
วิธีที่สองที่ทำให้นักลงทุนพ่ายแพ้ก็คือ การซื้อขายบ่อยเกินไป ทุกครั้งที่มีการซื้อหรือขาย มันจะตามมาด้วยค่าคอมมิชชัน, ส่วนต่างราคาซื้อขาย, และภาษีเสมอ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจดูเล็กน้อยในแต่ละครั้ง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะค่อยๆทบต้นและกัดกินเงินทุนของนักลงทุนไปเรื่อยๆ กำไร 10% ที่ทำมาได้ อาจจะหดเหลือแค่ 5% หรือน้อยกว่านั้นอย่างรวดเร็ว พอโดนหักค่าธรรมเนียมและภาษีเข้าไป ที่น่าเจ็บใจคือ คนที่ยิ่งขยันซื้อขายมากที่สุดเพราะเชื่อว่าตัวเองฉลาดกว่าใคร มักจะเป็นคนที่ได้ผลตอบแทนสุทธิต่ำที่สุด
และวิธีที่สาม นักลงทุนมักจะพ่ายแพ้ต่อ การตัดสินใจด้วยอารมณ์ ตอนที่ตลาดพุ่งทะยาน พวกเขาก็จะเกิดความโลภและเข้าไปรับความเสี่ยงมากกว่าที่ควรจะเป็น แต่พอตลาดดิ่งเหว พวกเขาก็จะตื่นตระหนกและเทขายทิ้งตอนที่มันลงไปต่ำสุด
ความกลัวและความโลภทำให้การตัดสินใจบิดเบี้ยวไปหมด นักลงทุนลืมนิทานเรื่องขนมพายที่ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ ไปเสียสนิท พวกเขากลับไปให้ความสนใจกับการแกว่งตัวของราคา แทนที่จะเป็นมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจ การทำตามอารมณ์นี่แหละครับ ที่เปลี่ยน ‘เกมของผู้ชนะ’ ในระยะยาวให้กลายเป็น ‘เกมของผู้แพ้’ ส่วนบุคคลไปในที่สุด
Bogle ย้ำว่าความผิดพลาดเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการที่เราไม่ฉลาดนะ คนฉลาดๆ ก็ทำพลาดแบบนี้กันทุกวัน แต่ปัญหาจริงๆ มันอยู่ที่ ‘โครงสร้างของวงการ’ ต่างหาก วงการการเงินเองนี่แหละที่คอยส่งเสริมให้เราซื้อขายบ่อยๆ, คอยปั่นกระแสกองทุนเด่นๆ, และทำการตลาดขายกลยุทธ์ที่ซับซ้อน นักลงทุนธรรมดาๆ อย่างเราจึงติดอยู่ในวังวนนี้ สุดท้ายก็แห่ตามคนอื่นไป, จ่ายค่าธรรมเนียมแพงๆ, และคอยตั้งคำถามกับการตัดสินใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา การทำแบบนั้นก็เท่ากับเรากำลัง ‘ลดทอน’ ผลกำไรที่ควรจะเป็นของเราไปเรื่อยๆ
ทางแก้มันชัดเจนมากครับ: หลีกเลี่ยงกับดักที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้
- หยุดวิ่งไล่ตามผลงานในอดีต
- หยุดซื้อขายบ่อยเกินความจำเป็น
- หันมาให้ความสำคัญกับการเป็นเจ้าของธุรกิจในระยะยาวผ่านกองทุนดัชนีที่มีต้นทุนต่ำ
- ปล่อยให้พลังของการทบต้นทำงานเพื่อ ‘ส่งเสริม’ คุณ แทนที่จะ ‘ต่อต้าน’ คุณ
เมื่อทำเช่นนี้ คุณก็จะได้ความได้เปรียบตามธรรมชาติของตลาดในฐานะ ‘เกมของผู้ชนะ’ กลับคืนมา
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นักลงทุนที่อดทนและมีวินัย มักจะทำผลงานได้ดีกว่าคนที่วิ่งไล่ตามกำไรเร็วๆ อยู่เสมอ ตัวเลขมันไม่เคยลำเอียงครับ ต้นทุน, อารมณ์, และความใจร้อน คือศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริงของการสร้างความมั่งคั่ง เมื่อคุณหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ คุณก็ได้วางตัวเองอยู่บนเส้นทางของการลงทุนอย่างมีเหตุผลแล้ว
และนี่ก็นำเราไปสู่หลักการข้อต่อไปโดยธรรมชาติ…
ถ้ากุญแจสำคัญสู่ชัยชนะคือการหลีกเลี่ยงต้นทุน คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า แล้วการลงทุนแบบไหนล่ะที่มีต้นทุนต่ำที่สุด และเราจะมุ่งความสนใจไปที่มันได้อย่างไร?
ในบทที่ 5 Bogle จะเจาะลึกถึงความสำคัญของการเลือกกองทุนที่มีต้นทุนต่ำที่สุด คำตอบของความมั่งคั่งที่ยั่งยืนไม่ได้อยู่ที่การวิ่งไล่ตามผลตอบแทน แต่อยู่ที่การปกป้องมันจากค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ ครับ
บทที่ 6: เงินปันผลคือเพื่อนแท้ของนักลงทุน
ลองนึกภาพว่าคุณปลูกต้นไม้ไว้ที่สวนหลังบ้าน ในแต่ละปี มันก็จะค่อยๆ สูงขึ้นทีละนิด แต่ความมหัศจรรย์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมันเริ่ม ‘ออกดอกออกผล’ ผลไม้เหล่านั้นช่วยหล่อเลี้ยงคุณและครอบครัว และยังทำให้ต้นไม้ต้นนั้นเติบโตแข็งแรงยิ่งขึ้นไปอีก
ในการลงทุน ‘เงินปันผล’ ก็เปรียบเสมือนดอกผลจากต้นไม้นั่นแหละครับ มันคือรางวัลที่เป็นรูปธรรมและเกิดขึ้นซ้ำๆ ที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเพื่อตอบแทนการเป็นเจ้าของ Bogle ถึงกับเรียกเงินปันผลว่าเป็น ‘เพื่อนแท้ของนักลงทุน’ และมันก็มีเหตุผลที่ดีมากๆ เลยครับ
เงินปันผลคือแหล่งผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวที่น่าเชื่อถือที่สุด ในอดีตที่ผ่านมา สัดส่วนที่เยอะมากของผลตอบแทนรวมในตลาดหุ้นก็มาจากเงินปันผลที่ถูกนำไปลงทุนต่อนี่แหละครับ เมื่อคุณได้รับเงินปันผลแล้วนำมันกลับไปลงทุนในบริษัทหรือกองทุนเดิมต่อทันที มันก็จะเริ่มทำงานแบบทบต้น พอเวลาผ่านไปหลายสิบปี พลังของการทบต้นนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และน่าทึ่งมาก เงินปันผลเล็กๆ ในวันนี้ สามารถเติบโตจนกลายเป็นส่วนสำคัญของความมั่งคั่งของคุณในวันหน้าได้เลย
Bogle ย้ำว่านักลงทุนหลายคนมองข้ามเงินปันผลไป ซึ่งเป็นอะไรที่เสี่ยงมากๆ พวกเขามัวแต่ไปโฟกัสที่การเปลี่ยนแปลงของ ‘ราคา’ หรือเก็งกำไรกับการเติบโตของหุ้น แต่ราคาหุ้นนั้นผันผวนทุกวัน และบ่อยครั้งก็ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์, ข่าวลือ, หรือกระแสระยะสั้น ในทางกลับกัน เงินปันผลคือ ‘กำไรจริงๆ’ ที่ถูกแบ่งปันมาให้เจ้าของ มันคือภาพสะท้อนที่เป็นรูปธรรมของความสำเร็จทางธุรกิจและความมุ่งมั่นที่บริษัทมีต่อผู้ถือหุ้น
ลองเปรียบเทียบบริษัทสองแห่งดูนะครับ แห่งหนึ่งนำกำไรทั้งหมดไปลงทุนต่อโดยไม่จ่ายปันผลเลย ส่วนอีกแห่งจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอในขณะที่ยังคงเติบโตต่อไปได้ คุณคิดว่าบริษัทไหนจะให้รางวัลกับนักลงทุนระยะยาวได้อย่างน่าเชื่อถือมากกว่ากัน?
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บริษัทที่จ่ายปันผลมักจะทำผลงานได้ดีกว่า เพราะเงินปันผลให้ทั้ง ‘กระแสเงินสด’ และ ‘พลังในการทบต้น’ มันทำหน้าที่เหมือนเครื่องยนต์ที่เดินเรียบๆ สม่ำเสมอ แม้ในช่วงที่ตลาดผันผวนอย่างหนักก็ตาม
ข้อดีอีกอย่างของเงินปันผลคือประโยชน์ทางด้าน ‘จิตใจ’ ครับ การได้รับเงินอย่างสม่ำเสมอช่วยตอกย้ำคุณค่าของความอดทน นักลงทุนจะได้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการเป็นเจ้าของ แทนที่จะต้องไปวิ่งไล่ตามราคาที่แกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง มันช่วยสร้างความมั่นใจ, วินัย, และความเข้าใจที่ว่าความมั่งคั่งนั้นเติบโตอย่างมั่นคง ไม่ใช่พุ่งพรวดในชั่วข้ามคืน
Bogle ยังเตือนด้วยว่าการไม่สนใจเงินปันผลอาจทำให้เรามองภาพผิดเพี้ยนไปได้ หุ้นตัวหนึ่งอาจจะมีราคาพุ่งสูงปรี๊ด สร้างภาพลวงตาว่าให้ผลตอบแทนมหาศาล แต่ถ้าไม่มีเงินปันผล การเติบโตที่แท้จริงส่วนใหญ่ก็หายไป
เงินปันผลที่ถูกนำไปลงทุนต่อต่างหากที่สร้างความมั่งคั่งที่สำคัญอย่างแท้จริงเมื่อเวลาผ่านไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเลือกการลงทุนที่จ่ายปันผล หรือกองทุนดัชนีที่อุดมไปด้วยหุ้นปันผลจึงเป็นหัวใจของกลยุทธ์ระยะยาว
เงินปันผลเมื่อรวมเข้ากับการลงทุนต้นทุนต่ำจะสร้างพลังทวีคูณที่แข็งแกร่งมาก ต้นทุนคอยกัดกินผลตอบแทน แต่เงินปันผลจะคอยสร้างมันกลับคืนมาอย่างมั่นคง เงินปันผลทำหน้าที่เหมือนกันชน ช่วยปกป้องนักลงทุนจากความผันผวน ในขณะที่การทบต้นก็ช่วยขยายความมั่งคั่งให้เติบโตขึ้นตลอดหลายสิบปี การผสมผสานนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าการวิ่งไล่ตามกำไรระยะสั้นหรือจ้างผู้จัดการกองทุนราคาแพงเป็นไหนๆ
เมื่อจบบทนี้ เราจะเริ่มเห็นรูปแบบที่ชัดเจนขึ้นแล้วว่า ความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้เกี่ยวกับการเก็งกำไร, ความตื่นเต้นระยะสั้น, หรือการจับจังหวะที่ชาญฉลาดเลย แต่มันคือการเป็นเจ้าของอย่างมั่นคง, การรักษาต้นทุนให้ต่ำ, และการมีวินัยในการนำเงินปันผลกลับไปลงทุนต่อ
แต่ก็ไม่ใช่นักลงทุนทุกคนจะเข้าใจเรื่องนี้ หลายคนยังคงถูกทำให้หลงทางไปกับภาพลวงตาของฝีมือ, กระแส, และการทำนายตลาด ในบทต่อไป Bogle จะพาเราไปสำรวจ ‘ภาพลวงตาครั้งใหญ่’ ที่ว่าผู้จัดการกองทุนสามารถเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอครับ
บทที่ 7: ภาพลวงตาครั้งใหญ่
นักลงทุนจำนวนมากเชื่อว่าพวกเขาสามารถเลือกกองทุนหรือหุ้นที่จะเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ พวกเขาเฝ้าดูตารางผลการดำเนินงาน, อ่านรายงาน, และได้ยินเรื่องราวความสำเร็จของผู้จัดการกองทุนระดับซุป’ตาร์ มันให้ความรู้สึกว่าเป็นไปได้ มันรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องจริง… แต่ John Bogle เรียกความเชื่อนี้ว่า ‘ภาพลวงตาครั้งใหญ่’ (The Grand Illusion)
ความจริงนั้นอาจจะฟังดูโหดร้าย แต่ก็เรียบง่ายมาก: สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่แล้ว การพยายามเอาชนะตลาดคือ ‘เกมที่ไม่มีวันชนะ’
ภาพลวงตานี้มีรากฐานมาจากแนวคิด 3 อย่างด้วยกันครับ
- ผลงานในอดีตไม่ได้การันตีผลลัพธ์ในอนาคต กองทุนที่พุ่งทะยานเมื่อปีที่แล้วอาจจะสะดุดล้มในปีนี้ ผู้จัดการกองทุนที่ทำผลงานดีกว่าตลาดมา 5 ปีซ้อน ก็อาจจะล้มเหลวในอีก 5 ปีถัดไปได้
- ต้นทุนในการลงทุนจะกัดกร่อนความได้เปรียบไปจนหมด ค่าธรรมเนียมที่สูง, ค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย, และภาษี ทำให้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้จัดการกองทุนสาย Active จะเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ
- ตลาดเองนั้นมีประสิทธิภาพ (Efficient) ราคาหุ้นถูกกำหนดโดยข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่จะเอาชนะตลาดนั้นมีน้อยมากและเกิดขึ้นแค่ชั่วพริบตาเดียว
Bogle ใช้ตัวเลขง่ายๆ มาอธิบายให้เห็นภาพ สมมติว่านักลงทุนเลือกกองทุนที่เอาชนะตลาดได้ 1% ต่อปี (ก่อนหักค่าธรรมเนียม) แต่ถ้ากองทุนนั้นคิดค่าบริหารจัดการ 2% ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนคนนั้นกำลัง ‘ขาดทุน’ อยู่ 1% เมื่อเทียบกับการลงทุนในกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ พอคูณตัวเลขนี้เข้าไปตลอดช่วงเวลาหลายสิบปี ความแตกต่างจะมหาศาลจนน่าตกใจ ภาพลวงตาเรื่องฝีมือจะหายวับไปทันทีภายใต้น้ำหนักของต้นทุน
นักลงทุนมักจะตกเป็นเหยื่อของสิ่งที่ Bogle เรียกว่า ‘การวิ่งไล่ตามผลงาน’ (Performance Chasing) พวกเขามองหากองทุนที่กำลังร้อนแรงที่สุดในเดือนนั้น หรือหุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แล้วก็กระโจนเข้าไป แต่กว่าที่พวกเขาจะเข้าไปลงทุน โชคดีของกองทุนนั้นก็หมดลงไปแล้ว ในขณะเดียวกัน ตลาดโดยรวมก็ยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างมั่นคง สร้างผลตอบแทนทบต้นให้กับคนที่แค่ ‘ถือ’ การลงทุนที่กระจายตัวในวงกว้างเอาไว้ การวิ่งไล่ตามผู้ชนะจึงเป็นอะไรที่ต้นทุนสูงและเหนื่อยใจมาก
Bogle ย้ำว่าภาพลวงตาครั้งใหญ่นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวทางศีลธรรมอะไรเลย คนที่ทั้งฉลาด, ขยัน, และรอบรู้ ก็ยังตกหลุมพรางนี้อยู่ตลอดเวลา มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของวิธีการนำเสนอเรื่องการลงทุน สื่อการเงิน, เอกสารการตลาด, หรือแม้แต่ที่ปรึกษาทางการเงินเองก็มักจะเน้นย้ำแต่เรื่องราวความสำเร็จในระยะสั้น ผลลัพธ์ก็คือ เรามีนักลงทุนจำนวนมากที่เชื่อว่าฝีมือ, การจับจังหวะ, หรือกลยุทธ์ที่ซับซ้อนคือหัวใจของการสร้างความมั่งคั่ง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ความอดทน, ความเรียบง่าย, และต้นทุนที่ต่ำ ต่างหากคือตัวขับเคลื่อนที่แท้จริง
ยาถอนพิษสำหรับภาพลวงตานี้ก็คือ ‘วินัย’ ครับ
- จงยอมรับความจริงว่าตลาดโดยรวมนั้นเติบโตขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
- ยอมรับว่าการเอาชนะมันได้อย่างสม่ำเสมอนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
- มุ่งความสนใจไปที่กองทุนดัชนีต้นทุนต่ำที่กระจายการลงทุนในวงกว้าง
- ไม่ต้องไปสนใจเสียงรบกวนรอบข้าง
- และลงทุนต่อไปในระยะยาว
ด้วยวิธีนี้ คุณจะได้ก้าวออกมาจากภาพลวงตาและทวงคืนอำนาจในการควบคุมอนาคตทางการเงินของคุณกลับคืนมา
และมันยังมีอีกชั้นหนึ่งที่ต้องพิจารณาครับ แม้ว่านักลงทุนจะรู้ทันภาพลวงตานี้แล้ว พวกเขาก็ยังต้องเจอกับต้นทุนที่ซ่อนอยู่ในรูปของ ‘ภาษี’ การใส่ใจเรื่องภาษีเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันจะคอยลดทอนผลกำไรที่ตลาดมอบให้เรา
ในบทต่อไป Bogle จะมาอธิบายว่าทำไมภาษีถึงเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง และมันจะค่อยๆ กัดกร่อนผลตอบแทนของเราไปอย่างเงียบๆ ได้อย่างไรถ้าเราไม่ใส่ใจมันครับ
บทที่ 8: ภาษีก็คือต้นทุนอย่างหนึ่ง
นักลงทุนหลายคนมักจะโฟกัสไปที่ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุน แต่พวกเขามักจะลืม ‘โจรเงียบ’ อีกตัวหนึ่งไป นั่นก็คือ ‘ภาษี’
John Bogle ย้ำเตือนเราว่า ภาษีมีความสำคัญไม่แพ้ต้นทุนที่เราเห็นกันชัดๆ เลย เพราะทุกๆ บาทที่จ่ายไปเป็นภาษี คือเงินหนึ่งบาทที่จะไม่มีโอกาสได้ทบต้นต่อไปอีกหลายสิบปี ในขณะที่ค่าธรรมเนียมจะค่อยๆ กัดกร่อนความมั่งคั่งของเราไปอย่างช้าๆ แต่ภาษีสามารถจู่โจมเราได้ในทันที และมักจะมาในจังหวะที่แย่ที่สุดเสมอ
ลองนึกถึงการเทรดระยะสั้นดูครับ การขายหุ้นที่ถือไว้ไม่ถึงปี ปกติแล้วจะโดนเก็บภาษีกำไรในอัตราที่สูง ถึงแม้การลงทุนนั้นจะทำผลงานได้ดี แต่กำไรก็จะหดหายไปทันทีเมื่อโดนภาษีเข้าไป คนที่เทรดบ่อยๆ อาจจะรู้สึกว่าตัวเองฉลาดที่สามารถคว้าโอกาสระยะสั้นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังยื่นความมั่งคั่งส่วนสำคัญของตัวเองให้รัฐบาลไปต่างหาก
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนระยะยาวที่ถือหุ้นและนำเงินปันผลไปลงทุนต่อ จะได้ประโยชน์จากอัตราภาษีกำไรจากการลงทุน (Capital Gains Tax) ที่ต่ำกว่า ซึ่งช่วยให้พลังของการทบต้นทำงานได้อย่างเต็มที่
Bogle เน้นย้ำว่ากองทุนดัชนีโดยธรรมชาติแล้วจะ ‘ประหยัดภาษี’ มาก เพราะกองทุนพวกนี้มีการซื้อขายน้อยมาก จึงทำให้เกิดรายการที่ต้องเสียภาษีน้อยลงไปด้วย ไม่มีการซื้อๆ ขายๆ หุ้นในกองทุนตลอดเวลา ทำให้มีการจ่ายเงินปันผลจากกำไร (Capital Gains Distributions) ไปให้ผู้ถือหุ้นน้อยลง การถือครองกองทุนดัชนีที่อิงตลาดในวงกว้างจึงไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าธรรมเนียม แต่ยังช่วยลดภาระจากภาษีอีกด้วย ถือว่าได้เปรียบสองต่อเลยครับ
ภาษียังส่งผลต่อการตัดสินใจด้วย นักลงทุนมักจะตื่นตระหนกในช่วงตลาดขาลง และเทขายหุ้นในราคาขาดทุน ซึ่งก็ต้องมาเจอกับภาระทางภาษีตามมาอีก หรือบางคนก็พยายามจับจังหวะตลาด ซึ่งสร้างรายการที่ต้องเสียภาษีขึ้นมาหลายครั้ง ทั้งสองกลยุทธ์นี้ล้วนแต่ทำให้ผลตอบแทนสุทธิลดลงทั้งสิ้น การทำความเข้าใจว่าภาษีเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการลงทุนจะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ดีขึ้นและมีเหตุผลมากขึ้น
บทเรียนนี้ชัดเจนมากครับ: เงินที่เสียไปกับภาษีหนึ่งบาท สร้างความเสียหายได้เท่ากับเงินที่เสียไปกับค่าธรรมเนียมหรือการบริหารที่ย่ำแย่หนึ่งบาท การลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ดูกันแค่ผลตอบแทน ‘ก่อนหักภาษี’ แต่มันคือผลตอบแทนที่คุณ ‘เก็บไว้ได้จริงๆ’ กลยุทธ์ไหนก็ตามที่ไม่สนใจความจริงข้อนี้ ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่สมบูรณ์และมีความเสี่ยง
Bogle ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบทางจิตวิทยาด้วย นักลงทุนหลายคนมักจะประเมินผลกระทบระยะยาวของภาษีต่ำเกินไป เพราะมันเป็นเรื่องนามธรรมและมองไม่เห็นเมื่อเทียบกับค่าธรรมเนียม แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี ผลกระทบของมันจะทบต้นจนน่าตกใจ การวางแผนเรื่องภาษี, การเลือกกองทุนที่ประหยัดภาษี, และการลดธุรกรรมที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาการเติบโตของตลาดส่วนใหญ่เอาไว้กับตัวเองได้
และนี่คือจุดเชื่อมต่อไปยังหลักการข้อถัดไป…
แม้ว่าจะเข้าใจเรื่องต้นทุนและภาษีแล้ว นักลงทุนก็ยังอาจต้องเจอกับช่วงเวลาที่ตลาดไม่เติบโตหรืออยู่ในภาวะขาลง ตลาดเป็นวัฏจักร งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา และวิกฤตย่อมเกิดขึ้นได้ แล้วนักลงทุนควรจะรับมืออย่างไรเมื่อช่วงเวลาดีๆ มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป?
ในบทที่ 9 Bogle จะพาเราไปสำรวจช่วงเวลาที่ ‘ความรุ่งโรจน์ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป’ และอธิบายว่าความอดทนและวินัยจะยังคงช่วยปกป้องความมั่งคั่งของเราตลอดช่วงตลาดขาลงได้อย่างไร
บทที่ 9: เมื่อความรุ่งโรจน์ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป
ตลาดหุ้นไม่ได้เป็นมิตรกับเราเสมอไป มันมีขึ้น แต่มันก็มีลง ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์สิ้นสุดลง ฟองสบู่แตก และภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็มาเยือน John Bogle เตือนเราว่า แม้แต่นักลงทุนที่มีวินัยที่สุดก็ยังต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นทำให้ผิดหวัง ช่วงเวลาดีๆ จะไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป และความท้าทายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การทำนายช่วงขาลง แต่อยู่ที่การ ‘เอาชีวิตรอด’ จากมันให้ได้โดยไม่ตื่นตระหนกต่างหาก
นักลงทุนมักจะสับสนระหว่าง ‘ความผันผวนระยะสั้น’ กับ ‘การขาดทุนอย่างถาวร’ เมื่อราคาดิ่งลงอย่างรุนแรง ความกลัวก็จะเข้ามาครอบงำ ผู้คนพากันเทขายที่จุดต่ำสุด เป็นการ ‘ล็อคขาดทุน’ ที่จริงๆ แล้วอาจจะเป็นแค่เรื่องชั่วคราวก็ได้ ในทางกลับกัน
ในช่วงที่ตลาดกระทิงคึกคัก พวกเขาก็แห่กันเข้าไปซื้อที่ราคาสูงลิ่ว เพียงเพื่อจะได้เห็นตลาดปรับฐานลงมาในภายหลัง การตอบสนองด้วยอารมณ์นี่แหละครับที่เปลี่ยน ‘เกมของผู้ชนะ’ ในระยะยาวให้กลายเป็น ‘เกมของผู้แพ้’ ส่วนบุคคลไป
Bogle ย้ำว่าประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นนั้นเป็นวัฏจักร มันมีทั้งวิกฤต, ภาวะตกต่ำครั้งใหญ่, และช่วงเวลาที่ตลาดซบเซา แต่เมื่อมองในระยะยาวแล้ว ตลาดก็ฟื้นตัวและเติบโตขึ้นได้เสมอ การเข้าใจเรื่องนี้คือกุญแจสำคัญ อุปสรรคชั่วคราวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง นักลงทุนที่มีเหตุผลจะน้อมรับความจริงข้อนี้แทนที่จะกลัวมัน
หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะช่วยให้รอดพ้นจากช่วงขาลงได้ก็คือ การกระจายความเสี่ยง (Diversification) การถือครองหุ้นจากหลากหลายบริษัท, หลากหลายอุตสาหกรรม, หรือแม้แต่การมีตราสารหนี้ (Bonds) ผสมอยู่ด้วย จะช่วยลดผลกระทบจากความล้มเหลวของสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งได้
อีกกลยุทธ์หนึ่งคือ ความอดทน คนที่ยังคงลงทุนต่อไปในช่วงเวลาที่ยากลำบาก จะเป็นการเปิดโอกาสให้พลังของการทบต้นยังคงทำงานเพื่อพวกเขาต่อไป การรีบขายในช่วงตลาดขาลงมักจะรับประกันได้เลยว่านักลงทุนคนนั้นจะ ‘ตกรถ’ ตอนที่ตลาดฟื้นตัวกลับมา
Bogle ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ด้วย การผสมผสานระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่เรารับได้และระยะเวลาการลงทุนของเรา จะช่วยสร้างความมั่นคงได้ หุ้นให้การเติบโตในระยะยาว แต่ตราสารหนี้จะทำหน้าที่เป็น ‘กันชน’ ในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน การรักษาสมดุลนี้ไว้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถผ่านช่วงขาลงไปได้อย่างมั่นใจและหลีกเลี่ยงการตัดสินใจด้วยอารมณ์ได้
บทเรียนที่สำคัญอีกข้อคือ การไม่สนใจเสียงรบกวน สื่อการเงินมักจะขยายความผันผวนในระยะสั้นให้ดูใหญ่โตเกินจริง โดยใช้พาดหัวข่าวที่น่าตื่นเต้นเพื่อสร้างความกลัวหรือความโลภ นักลงทุนที่มีเหตุผลจะโฟกัสที่ระยะยาว ไม่ใช่ข่าวซุบซิบรายวันของตลาด ตลาดหุ้นเป็นภาพสะท้อนของการเติบโตทางธุรกิจ ไม่ใช่แหล่งรวมดราม่าไม่รู้จบ การ giữ bình tĩnh และมีวินัยจะช่วยปกป้องความมั่งคั่งของเราได้
สุดท้าย Bogle เตือนเราว่า ช่วงขาลงไม่ได้มีแต่ความท้าทาย แต่มันคือ ‘โอกาส’ ด้วย เมื่อราคาหุ้นตกลง เงินปันผลที่เราได้รับสามารถนำไปลงทุนต่อได้ในต้นทุนที่ถูกลง ซึ่งจะช่วยทบต้นความมั่งคั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนที่ตื่นตระหนกจะพลาดโอกาสนี้ไป ช่วงเวลาดีๆ จะกลับมาในที่สุด และนักลงทุนที่ยังคงยืนหยัดอยู่บนเส้นทางเดิมจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวอย่างเต็มที่
เมื่อเราก้าวต่อไป ประเด็นนี้ก็ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า… ถ้าตลาดเติบโตในระยะยาว แต่ความผันผวนในระยะสั้นกลับสร้างความสับสนและน่ากลัวให้กับหลายๆ คน แล้วนักลงทุนควรจะมีแนวทางในการเลือก ‘ผู้ชนะ’ รายตัวอย่างไร? มันเป็นไปได้ไหมที่จะเลือกกองทุนหรือหุ้นที่ทำผลงานได้ดีกว่าตลาดอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาหลายสิบปี?
ในบทที่ 10 Bogle จะพาไปสำรวจเรื่อง ‘การคัดเลือกผู้ชนะในระยะยาว’ และอธิบายว่าทำไมการทำแบบนั้นมันถึงได้ยากกว่าที่คิดเยอะครับ
บทที่ 10: การคัดเลือกผู้ชนะในระยะยาว
นักลงทุนมักจะฝันถึงการค้นพบ ‘The next Apple’ หรือ ‘The next Google’ หรือกองทุนที่สามารถเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ แนวคิดเรื่องการเลือกเฟ้นหาผู้ชนะในระยะยาวนั้นช่างหอมหวาน มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นทางลัดสู่ความมั่งคั่ง แต่ John Bogle เตือนว่าการไล่ล่าหาสิ่งนี้มันยากกว่าที่เห็นเยอะครับ
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ามีนักลงทุนน้อยคนมากๆ และมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพน้อยยิ่งกว่านั้นอีก ที่สามารถระบุตัวผู้ชนะในระยะยาวได้อย่างสม่ำเสมอ โอกาสที่จะเอาชนะตลาดโดยรวมได้นั้นมันน้อยนิดสำหรับทุกคนที่พยายาม
Bogle ย้ำว่า ผลงานในอดีตนั้นทำให้เราเข้าใจผิดได้ง่าย กองทุนหรือหุ้นที่เคยทำผลงานได้ดีเยี่ยมมา 5 หรือ 10 ปี ก็อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบเดิมอีกต่อไป สภาพตลาดเปลี่ยนแปลงไป, อุตสาหกรรมพัฒนาไป, และทีมผู้บริหารก็เปลี่ยนหน้า การจะทำนายว่าบริษัทหรือกองทุนไหนจะยังคงโดดเด่นต่อไปอีกหลายสิบปีในอนาคตนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าถึงข้อมูลที่ดีที่สุดก็ยังล้มเหลวอยู่บ่อยครั้ง
ความท้าทายอีกอย่างคือ ‘ต้นทุน’ กองทุนที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงๆ ก็มักจะคิดค่าธรรมเนียมสูงตามไปด้วย ยิ่งต้นทุนสูงเท่าไหร่ นักลงทุนก็ยิ่งต้องทำผลงานให้ดีขึ้นไปอีกเพียงเพื่อให้เท่าทุน นี่คือกับดักที่หลายคนตกลงไป
การวิ่งไล่ตามผู้ชนะที่เห็นอยู่ตรงหน้าโดยไม่สนใจค่าธรรมเนียม คือสูตรสำเร็จของความผิดหวัง Bogle เน้นย้ำว่าเมื่อเวลาผ่านไป การลงทุนในตลาดวงกว้างด้วยต้นทุนต่ำมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการพยายามเลือกผู้ชนะรายตัวด้วยต้นทุนที่สูง
Bogle ยังพูดถึงความท้าทายทางจิตวิทยาด้วย นักลงทุนมักจะมั่นใจในตัวเองเกินไป (Overconfidence) พวกเขาคิดว่าตัวเองสามารถอ่านเทรนด์ออกหรือทายทิศทางตลาดได้ แต่ความมั่นใจเกินร้อยนี่แหละที่มักจะนำไปสู่การซื้อที่ยอดดอยและขายที่ก้นเหว ในทางตรงกันข้าม ความมั่งคั่งในระยะยาวมาจากความสม่ำเสมอ, ความอดทน, และการลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ใช่การพยายามเอาชนะตลาด
บทเรียนนั้นเรียบง่ายแต่สวนทางกับความรู้สึก: แทนที่จะออกล่าหาผู้ชนะ นักลงทุนควรจะเป็นเจ้าของตลาดทั้งตลาดผ่านกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ การทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของบริษัทนับพันแห่งโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องไปเสี่ยงกับการทุ่มเงินไปที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งมากเกินไป การเป็นเจ้าของในวงกว้างช่วยลดความเสี่ยง, เพิ่มพลังการทบต้นให้สูงสุด, และช่วยให้หลีกเลี่ยงหลุมพรางของการพยายามเลือกผู้ชนะได้
ประวัติศาสตร์ยืนยันกลยุทธ์นี้ การบริหารแบบ Active อาจจะเอาชนะตลาดได้เป็นครั้งคราวในระยะสั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี มีกองทุนน้อยมากที่จะทำผลงานได้ดีกว่าตลาดหลังหักค่าใช้จ่ายและภาษีแล้ว นักลงทุนที่ยังคงมีวินัย, โฟกัสที่ต้นทุนต่ำ, และยึดมั่นกับการเป็นเจ้าของในระยะยาว จะเป็นผู้ที่ได้รับผลตอบแทนส่วนใหญ่ของตลาดไปครองได้อย่างสม่ำเสมอ
ความเข้าใจนี้นำเราไปสู่แนวคิดสำคัญอีกอย่างหนึ่งโดยธรรมชาติ นั่นคือ ‘การหวนคืนสู่ค่าเฉลี่ย’ (Reversion to the Mean) เมื่อเวลาผ่านไป ผลงานที่โดดเด่นเกินปกติมักจะกลับคืนสู่ระดับค่าเฉลี่ย ตลาดมีวิธีของมันในการแก้ไขภาวะที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป การตระหนักถึงหลักการข้อนี้คือกุญแจสำคัญในการหลีกเลี่ยงสิ่งล่อใจที่จะวิ่งไล่ตามผู้ชนะในระยะสั้น
ในบทที่ 11 Bogle จะพาไปสำรวจเรื่อง ‘การหวนคืนสู่ค่าเฉลี่ย’ และอธิบายว่าทำไมมันถึงยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการลงทุนระยะยาวอย่างมีวินัย
บทที่ 11: การหวนคืนสู่ค่าเฉลี่ย (Reversion to the Mean)
ในการลงทุน ไม่มีอะไรที่จะดีเลิศประเสริฐศรีไปได้ตลอดกาล John Bogle แนะนำให้เรารู้จักกับแนวคิดเรื่อง ‘การหวนคืนสู่ค่าเฉลี่ย’ ซึ่งเป็นหลักการที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังมาก: เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนที่สูงผิดปกติหรือต่ำผิดปกติ มักจะมีแนวโน้มที่จะกลับเข้ามาหา ‘ค่าเฉลี่ย’ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, กองทุน, หรือตลาดโดยรวม น้อยครั้งมากที่จะยังคงทำผลงานได้สุดขั้วไปเรื่อยๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด การเข้าใจแนวคิดนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุนที่มีเหตุผลและอดทน
ลองนึกถึงกองทุนที่ทำผลงานได้ดีกว่าตลาด 5 ปีซ้อน นักลงทุนจำนวนมากก็จะรีบแห่กันเข้าไป โดยหวังว่าจะได้โต้คลื่นความสำเร็จนั้นไปด้วย แต่ Bogle เตือนว่าผลงานที่โดดเด่นสุดๆ มักจะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว ตลาดมีความผันผวน, อุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลง, และผู้ชนะในวันนี้อาจจะกลายเป็นผู้ที่ต้องดิ้นรนในวันพรุ่งนี้ก็ได้ การวิ่งไล่ตามความสำเร็จในอดีต ทำให้นักลงทุนเสี่ยงที่จะเข้าไปตอนที่มันอยู่บนจุดสูงสุด เพียงเพื่อจะได้เจอกับผลงานที่ย่ำแย่ในภายหลัง
หลักการนี้ยังอธิบายได้ด้วยว่าทำไมการลงทุนในกองทุนดัชนีระยะยาวถึงได้ผล ในขณะที่กองทุนหรือหุ้นบางตัวอาจจะโดดเด่นขึ้นมาเป็นผู้นำได้ชั่วคราว แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี ส่วนใหญ่ก็จะกลับไปมีผลงานใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาดอยู่ดี การเป็นเจ้าของตลาดทั้งตลาดผ่านกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ ทำให้นักลงทุนได้รับประโยชน์จากการเติบโตที่มั่นคงของธุรกิจทั้งหมด แทนที่จะไปเดิมพันกับดาวเด่นที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป วิธีนี้ช่วยหลีกเลี่ยงความผิดพลาดราคาแพงจากการวิ่งไล่ตามตัวที่โดดเด่นเกินใครได้
การหวนคืนสู่ค่าเฉลี่ยยังใช้ได้กับฝั่งขาดทุนด้วยนะครับ เช่นเดียวกับที่ผู้ชนะสุดขั้วจะค่อยๆ กลับมาสู่ภาวะปกติ ผู้ที่ทำผลงานย่ำแย่สุดขั้วก็มักจะฟื้นตัวกลับมาได้เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทที่เจอกับอุปสรรคชั่วคราวอาจจะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง การถือพอร์ตโฟลิโอที่กระจายความเสี่ยง จะช่วยให้นักลงทุนได้รับประโยชน์จากการปรับตัวตามธรรมชาตินี้ โดยไม่ต้องไปพยายามทายว่าหุ้นตัวไหนจะฟื้นตัวกลับมา
Bogle ย้ำว่า ‘ความอดทน’ คือกุญแจสำคัญที่จะได้รับประโยชน์จากการหวนคืนสู่ค่าเฉลี่ย นักลงทุนต้องต่อต้านสิ่งล่อใจที่จะตอบสนองต่อภาวะสุดขั้วในระยะสั้น หลีกเลี่ยงการซื้อกองทุนที่กำลังฮอตตอนที่มันอยู่บนจุดสูงสุด และหลีกเลี่ยงการเทขายกองทุนที่กำลังขาดทุนด้วยความตื่นตระหนก แต่ให้ยึดมั่นในกลยุทธ์ระยะยาวที่กระจายความเสี่ยงและมีต้นทุนต่ำเข้าไว้ เมื่อทำเช่นนี้ การหวนคืนสู่ค่าเฉลี่ยจะทำงานเพื่อ ‘เข้าข้าง’ คุณ ช่วยให้ความผันผวนราบเรียบลง และตอกย้ำการเติบโตที่มั่นคง
ผลกระทบทางจิตวิทยานั้นลึกซึ้งมากครับ การเข้าใจว่าภาวะสุดขั้วเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวจะช่วยลดความวิตกกังวลในช่วงที่ตลาดผันผวน มันช่วยป้องกันการตัดสินใจด้วยอารมณ์ และส่งเสริมการลงทุนอย่างมีวินัย นักลงทุนจะเรียนรู้ที่จะมองความผันผวนระยะสั้นว่าเป็นแค่ ‘เสียงรบกวน’ ไม่ใช่ ‘สัญญาณ’ สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือแนวโน้มระยะยาวของตลาดที่สร้างขึ้นจากการเติบโตของภาคธุรกิจต่างหาก
และเรื่องนี้นำเราไปสู่คำถามสำคัญข้อหนึ่ง… ถ้ากลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการถือตลาดโดยรวมและหลีกเลี่ยงการไล่ตามผู้ชนะในอดีต แล้วเรายังจำเป็นต้องมีที่ปรึกษามาคอยเลือกกองทุนให้เราอีกไหม? นักลงทุนจำนวนมากจ่ายค่าธรรมเนียมแพงๆ เพื่อขอคำแนะนำที่บ่อยครั้งก็ไม่ได้ช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้นเลย
ในบทที่ 12 Bogle จะพาไปสำรวจเรื่อง ‘การขอคำแนะนำเพื่อเลือกกองทุน’ และอธิบายว่าเมื่อไหร่ที่คำแนะนำนั้นมีคุณค่าจริงๆ และเมื่อไหร่ที่ไม่จำเป็นครับ
บทที่ 12: การขอคำแนะนำเพื่อเลือกกองทุน
นักลงทุนมักจะสงสัยว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ที่ปรึกษาทางการเงินต่างก็ให้คำมั่นว่าจะช่วยชี้แนะ, แนะนำกองทุน, และมอบกลยุทธ์ที่คาดว่าจะสามารถเอาชนะตลาดได้
แต่ John Bogle ท้าทายแนวคิดนี้ด้วยการตั้งคำถามง่ายๆ ว่า: ถ้าที่ปรึกษาส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ แล้วการจ่ายเงินเพื่อขอคำแนะนำนั้นมันคุ้มค่าจริงๆ หรือ?
Bogle อธิบายว่าบริการให้คำปรึกษาส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นไปที่การเลือกกองทุนแบบ Active พวกเขาจะแนะนำกองทุนที่กำลังฮอต, ชูจุดเด่นที่ผลงานล่าสุด, และขายไอเดียเรื่องการเอาชนะตลาด แต่ผลงานในอดีตไม่ได้ใช้ทำนายอนาคต, ต้นทุนเป็นเรื่องสำคัญ, และหลักการ ‘การหวนคืนสู่ค่าเฉลี่ย’ ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ชนะในวันนี้อาจจะทำผลงานได้ไม่ดีในวันพรุ่งนี้ การจ่ายเงินเพื่อขอคำแนะนำในบริบทนี้จึงมักจะไป ‘ลด’ ผลตอบแทนสุทธิมากกว่าที่จะ ‘เพิ่ม’
นั่นไม่ได้หมายความว่าที่ปรึกษาไม่มีประโยชน์เลยนะครับ สำหรับนักลงทุนบางคน การมีมืออาชีพคอยชี้แนะสามารถช่วยสร้างวินัย, ความมั่นใจ, และแผนการลงทุนที่เป็นระบบได้ ที่ปรึกษาสามารถช่วยให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการตัดสินใจด้วยอารมณ์, รักษาโฟกัสในระยะยาว, และกระจายพอร์ตโฟลิโอได้อย่างเหมาะสม คุณูปการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขามักจะเป็นการโค้ชด้านพฤติกรรม ไม่ใช่การเลือกหุ้น
Bogle เน้นย้ำว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดไม่ได้พึ่งพากลยุทธ์ที่ซับซ้อนหรือการซื้อขายบ่อยๆ พวกเขาเน้นที่ ความเรียบง่าย, กองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ, การกระจายความเสี่ยงในวงกว้าง, การนำเงินปันผลไปลงทุนต่อ, และวินัยในระยะยาว คำแนะนำใดๆ ก็ตามที่ส่งเสริมให้เราออกนอกลู่นอกทางจากแนวทางนี้ มักจะมีราคาแพงและให้ผลตรงกันข้าม นักลงทุนต้องประเมินให้ดีว่าค่าธรรมเนียมที่พวกเขาจ่ายไปนั้นช่วยเพิ่มมูลค่าจริงๆ หรือเป็นเพียงการสร้างภาพลวงตาว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์ได้
อีกข้อที่ต้องพิจารณาคือ ความโปร่งใส ค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาจำนวนมากมักจะซ่อนอยู่ในค่าใช้จ่ายของกองทุน, ค่าคอมมิชชันในการซื้อขาย, หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ นักลงทุนอาจจะเชื่อว่าพวกเขากำลังจ่ายเงินเพื่อแลกกับความเชี่ยวชาญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ค่าธรรมเนียมเหล่านั้นกำลังกัดกร่อนผลตอบแทนของพวกเขาอยู่ หลักการของ Bogle นั้นชัดเจน: ถ้าคุณวัดมูลค่าของมันไม่ได้ คุณก็มีแนวโน้มที่จะจ่ายแพงเกินไป
สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดนั้นตรงไปตรงมามาก: เลือกกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ, รักษาการจัดสรรสินทรัพย์ที่เหมาะสม, และลงทุนต่อไปในระยะยาว การขอคำแนะนำไม่ควรจะเกี่ยวข้องกับการวิ่งไล่ตามผลงานหรือการจ่ายเงินเพื่อจับจังหวะตลาด ประโยชน์ที่แท้จริงของที่ปรึกษาคือการช่วยให้คุณมีวินัย, อดทน, และจดจ่ออยู่กับหลักการที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล
ความเข้าใจนี้นำเราไปสู่บทเรียนที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนโดยธรรมชาติ ถ้าความเรียบง่าย, วินัย, และต้นทุนต่ำ คือกุญแจสู่ความสำเร็จในระยะยาว การนำวิถีชีวิตแห่งความยับยั้งชั่งใจและประสิทธิภาพมาใช้ในการลงทุนจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ
ในบทที่ 13 Bogle จะอธิบายว่านักลงทุนจะสามารถทำกำไรจาก ‘ความสง่างามของความเรียบง่ายและความมัธยัสถ์’ ได้อย่างไร ซึ่งจะทำให้การสะสมความมั่งคั่งเป็นไปได้จริงและทรงพลัง
บทที่ 13: ทำกำไรจากความสง่างามของความเรียบง่ายและความมัธยัสถ์
ในโลกของการลงทุน ความซับซ้อนมักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นความฉลาด นักลงทุนจำนวนมากมักจะหลงใหลในกลยุทธ์ที่หรูหรา, กองทุนแปลกๆ, และการวิเคราะห์ตลาดอยู่ตลอดเวลา แต่ John Bogle ท้าทายกรอบความคิดนี้โดยเน้นย้ำถึง ‘ความสง่างามของความเรียบง่าย’
ความสำเร็จในการลงทุนที่แท้จริงนั้นน้อยครั้งนักที่จะได้มาจากการใช้เทคนิคแพรวพราวหรือการซื้อขายบ่อยๆ แต่มันมาจากการทำทุกอย่างให้เรียบง่าย, ลดต้นทุนให้เหลือน้อยที่สุด, และฝึกฝนความมัธยัสถ์ (Parsimony)
ความเรียบง่าย หมายถึงการมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญจริงๆ:
- เป็นเจ้าของตลาดในวงกว้าง
- ใช้กองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ
- นำเงินปันผลไปลงทุนต่อ
- ลงทุนต่อไปในระยะยาว
- หลีกเลี่ยงการวิ่งไล่ตามกองทุนที่กำลังฮอตหรือแผนการจับจังหวะตลาด
หลักการเหล่านี้ตรงไปตรงมา แต่อานุภาพของมันนั้นมหาศาล ความซับซ้อนอาจให้ภาพลวงตาว่าเราควบคุมได้ แต่ในความเป็นจริงมันมักจะนำไปสู่ความผิดพลาดและผลตอบแทนที่ลดลง
ความมัธยัสถ์ คือศิลปะแห่งการยับยั้งชั่งใจ ค่าธรรมเนียมทุกบาท, การซื้อขายที่ไม่จำเป็นทุกครั้ง, และภาษีทุกรายการ เปรียบเสมือนรูรั่วเล็กๆ ในถังแห่งความมั่งคั่งของนักลงทุน การควบคุมต้นทุนอย่างระมัดระวังและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้การเติบโตตามธรรมชาติของธุรกิจทำงานเพื่อผลประโยชน์ของนักลงทุนได้อย่างเต็มที่ แนวทางที่มีวินัยนี้จะเปลี่ยนเงินออมเล็กน้อยให้กลายเป็นความมั่งคั่งก้อนโตได้ในระยะเวลาหลายสิบปี
Bogle ยังเน้นย้ำว่า ความอดทน เป็นส่วนหนึ่งของความมัธยัสถ์ด้วย สิ่งล่อใจที่จะตอบสนองต่อความผันผวนของตลาด, ที่จะขายด้วยความกลัว, หรือซื้อด้วยความโลภนั้นมีอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนที่มัธยัสถ์จะต่อต้านแรงกระตุ้นเหล่านี้ พวกเขาเชื่อมั่นในพลังของการทบต้น, ความน่าเชื่อถือของการเติบโตทางธุรกิจ, และคุณค่าของเวลาในตลาด พวกเขาจะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ควบคุมได้ ไม่ใช่เสียงรบกวนที่คาดเดาไม่ได้ของราคาในแต่ละวัน
ความเรียบง่ายและความมัธยัสถ์ยังช่วยลดความเครียดได้ด้วย นักลงทุนที่ไม่หมกมุ่นกับการเลือกผู้ชนะหรือการจับจังหวะตลาดจะมีความวิตกกังวลน้อยลง กลยุทธ์ของพวกเขานั้นชัดเจน, วัดผลได้, และทำซ้ำได้ พวกเขารู้ดีว่าการสะสมความมั่งคั่งคือการเดินทางไกล ไม่ใช่ชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ ในระยะสั้น ความชัดเจนในเป้าหมายนี้ทำให้การลงทุนไม่เพียงแต่ได้กำไร แต่ยังยั่งยืนในทางจิตใจอีกด้วย
Bogle ใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์มาตอกย้ำประเด็นของเขา ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา กองทุนดัชนีต้นทุนต่ำที่กระจายความเสี่ยงในวงกว้างสามารถทำผลงานได้ดีกว่ากองทุนที่บริหารแบบ Active ส่วนใหญ่อย่างสม่ำเสมอ รูปแบบมันเรียบง่ายมาก: ต้นทุนเป็นเรื่องสำคัญ, ความอดทนให้ผลตอบแทน, และการกระจายความเสี่ยงช่วยปกป้อง ไม่มีความจำเป็นต้องไปทำอะไรให้ซับซ้อนเลย ในเมื่อปัจจัยพื้นฐานมันทำงานได้อย่างน่าเชื่อถืออยู่แล้ว
เมื่อจบบทนี้ เราจะเห็นได้ว่าการลงทุนสามารถเป็นได้ทั้งสิ่งที่สง่างามและมีประสิทธิภาพ การน้อมรับความเรียบง่ายและความมัธยัสถ์จะช่วยให้นักลงทุนเพิ่มผลตอบแทนได้สูงสุด ในขณะที่ลดความเสี่ยง, ต้นทุน, และความเครียดให้เหลือน้อยที่สุด
แต่ความเรียบง่ายอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ตราสารหนี้ (Bonds) ซึ่งเป็นสินทรัพย์หลักอีกประเภทหนึ่ง ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตโฟลิโอ
ในบทที่ 14 Bogle จะพาไปสำรวจเรื่อง ‘กองทุนตราสารหนี้’ และอธิบายว่ามันจะเข้ามาอยู่ในกลยุทธ์การลงทุนที่สมดุลได้อย่างไรครับ
บทที่ 14: กองทุนตราสารหนี้ (Bond Funds)
ในขณะที่หุ้นให้ ‘การเติบโต’ ตราสารหนี้ (Bonds) ก็ให้ ‘ความมั่นคง’ John Bogle เน้นย้ำว่ากลยุทธ์การลงทุนที่สมดุลนั้นต้องการทั้งสองอย่าง ตราสารหนี้โดยพื้นฐานแล้วก็คือ ‘เงินกู้’ ที่เราให้แก่รัฐบาลหรือบริษัทเอกชน และพวกเขาจะจ่ายดอกเบี้ยให้เราเป็นการตอบแทนเมื่อเวลาผ่านไป มันอาจจะไม่ได้ให้ความตื่นเต้นเหมือนหุ้น แต่ก็ช่วยปกป้องนักลงทุนจากความผันผวนของตลาดและช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตโฟลิโอได้
กองทุนตราสารหนี้ (Bond Funds) จะรวบรวมตราสารหนี้หลายๆ ฉบับเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้โดยไม่ต้องไปไล่ซื้อตราสารหนี้ทีละฉบับ การกระจายความเสี่ยงนี้สำคัญมาก เพราะตราสารหนี้รายตัวมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) ได้ กองทุนตราสารหนี้จะช่วยกระจายความเสี่ยงนี้ออกไปยังผู้ออกตราสารหนี้หลายราย, หลายอุตสาหกรรม, และมีอายุที่แตกต่างกันไป ผลลัพธ์ก็คือ กระแสผลตอบแทนที่ราบรื่นขึ้น และลดความเสี่ยงจากการล้มเหลวของผู้ออกรายใดรายหนึ่งลง
Bogle ชี้ให้เห็นว่าตราสารหนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนสั้นลง หรือรับความเสี่ยงได้น้อยลง ในขณะที่หุ้นสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงลิ่วได้ในระยะเวลาหลายสิบปี แต่มันก็สามารถดิ่งลงอย่างรุนแรงได้ในระยะสั้น ตราสารหนี้จะทำหน้าที่เป็น ‘เบาะรองกันกระแทก’ คอยให้กระแสเงินสดและความมั่นคงในช่วงที่ตลาดผันผวน มันช่วยให้นักลงทุนนอนหลับได้สนิท โดยรู้ว่าส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนของพวกเขานั้นอ่อนไหวต่อความผันผวนรายวันของตลาดน้อยกว่า
อัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อราคาตราสารหนี้ และ Bogle ก็อธิบายถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจเรื่อง ‘Duration’ (อายุถัวเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักของกระแสเงินสดที่ได้รับจากตราสารหนี้) ตราสารหนี้ระยะยาวจะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากกว่า ในขณะที่ตราสารหนี้ระยะสั้นจะให้ความมั่นคงมากกว่าแต่ก็ให้ผลตอบแทน (Yield) ต่ำกว่า นักลงทุนควรเลือกกองทุนตราสารหนี้ที่ตรงกับเป้าหมาย, ระยะเวลาการลงทุน, และระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้
อีกแนวคิดสำคัญที่ Bogle เน้นคือ ตราสารหนี้ช่วยเสริมพลังของการทบต้นได้ ในขณะที่หุ้นขับเคลื่อนการเติบโต ตราสารหนี้ก็ให้กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอซึ่งสามารถนำไปลงทุนต่อได้ การผสมผสานนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอระยะยาวและช่วยปรับสมดุลความเสี่ยง โดยเฉพาะสำหรับคนที่ใกล้จะเกษียณ
อย่างไรก็ตาม Bogle ก็เตือนว่าอย่าไปทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ซับซ้อนเกินไป นักลงทุนหลายคนมักจะวิ่งไล่ตามกองทุนตราสารหนี้แปลกๆ, ผลตอบแทนสูงๆ, หรือกลยุทธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งบ่อยครั้งผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่คุ้มกับความเสี่ยงหรือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเลย กองทุนตราสารหนี้ที่กระจายความเสี่ยงแบบเรียบง่ายก็มักจะเพียงพอแล้วที่จะให้ความมั่นคงและผลตอบแทนที่คาดเดาได้
สุดท้าย Bogle ย้ำว่า การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) หรือสัดส่วนระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้นั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล มันควรจะสะท้อนถึงเป้าหมาย, ระดับความเสี่ยงที่รับได้, และระยะเวลาการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคน ตราสารหนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะมาทดแทนการเติบโต แต่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นคงให้กับแผนการลงทุนระยะยาว
เมื่อมีตราสารหนี้เข้ามาอยู่ในพอร์ตแล้ว นักลงทุนก็สามารถสำรวจเครื่องมือสมัยใหม่อีกอย่างหนึ่งได้ นั่นคือ ‘กองทุนรวมอีทีเอฟ’ (Exchange-Traded Funds หรือ ETFs) ซึ่งผสมผสานข้อดีของการลงทุนต้นทุนต่ำเข้ากับความยืดหยุ่นและสภาพคล่อง
ในบทที่ 15 Bogle จะพาไปสำรวจเรื่อง ‘กองทุนรวมอีทีเอฟ’ และบทบาทของมันในพอร์ตโฟลิโอที่มีวินัยและสมดุล
บทที่ 15: กองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange-Traded Funds – ETF)
ในโลกของการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ETF ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักลงทุนรายย่อย John Bogle อธิบายว่า ETF นั้นผสมผสานคุณสมบัติที่ดีที่สุดของกองทุนรวมและหุ้นเข้าไว้ด้วยกัน มันให้ทั้งการกระจายความเสี่ยงในวงกว้าง, ต้นทุนที่ต่ำ, และความยืดหยุ่นในการซื้อขาย ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มีวินัย
ETF คือกองทุนที่ถือตะกร้าของหุ้นหรือตราสารหนี้ และซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งหมายความว่านักลงทุนสามารถซื้อและขายหน่วยลงทุนได้ตลอดทั้งวันทำการในราคาตลาด ไม่เหมือนกับกองทุนรวมแบบดั้งเดิมที่ซื้อขายได้แค่วันละครั้ง ณ ราคา NAV (Net Asset Value) สิ้นวัน ETF ให้สภาพคล่องและความโปร่งใสในทันที นักลงทุนสามารถเห็นราคา, เข้าหรือออกจากสถานะ, และบริหารพอร์ตโฟลิโอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Bogle ชี้ให้เห็นว่า ETF มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการลงทุนแบบ Passive ที่มีต้นทุนต่ำ ETF จำนวนมากจะติดตามดัชนีตลาด เช่น ดัชนี S&P 500, ตลาดหุ้นโดยรวม, หรือดัชนีตราสารหนี้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนของตลาดโดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงๆ ที่มาพร้อมกับกองทุนแบบ Active นอกจากนี้ ETF ยังสามารถใช้ร่วมกับแผนการลงทุนต่ออัตโนมัติ (Automatic Reinvestment Plans) เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังของการทบต้นได้เหมือนกับกองทุนดัชนีแบบดั้งเดิม
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ Bogle ก็เตือนว่า อย่าใช้ ETF เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไร ความยืดหยุ่นในการซื้อขายอาจจะล่อใจให้นักลงทุนพยายามจับจังหวะตลาดหรือวิ่งไล่ตามกำไรระยะสั้น ซึ่งนั่นจะทำลายจุดประสงค์ของแผนการลงทุนระยะยาวที่มีวินัยไปโดยสิ้นเชิง เราควรมองว่า ETF เป็นเครื่องมือสำหรับการเติบโตที่มั่นคงและอดทน ไม่ใช่พาหนะสำหรับการพนันกับความผันผวนของตลาด
อีกประเด็นสำคัญที่ Bogle กล่าวถึงคือ ประสิทธิภาพทางภาษี ETF มีโครงสร้างที่ช่วยลดการจ่ายเงินปันผลจากกำไร (Capital Gains Distributions) ให้น้อยที่สุด ซึ่งหมายความว่านักลงทุนจะเก็บเกี่ยวการเติบโตของตลาดไว้ได้มากกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนแบบ Active ที่มักจะสร้างรายการที่ต้องเสียภาษีอยู่บ่อยๆ ต้นทุนที่ต่ำและประสิทธิภาพทางภาษีทำให้ ETF เป็นตัวเลือกที่เป็นธรรมชาติสำหรับพอร์ตโฟลิโอระยะยาว
สุดท้าย Bogle ตั้งข้อสังเกตว่า ETF ไม่ได้มาแทนที่ ‘หลักการ’ ของการลงทุน มันเป็นแค่ ‘เครื่องมือ’ ไม่ใช่ ‘กลยุทธ์’ สิ่งที่ต้องโฟกัสจริงๆ ยังคงเป็นการกระจายความเสี่ยง, ต้นทุนต่ำ, การนำผลตอบแทนไปลงทุนต่อ, และการอยู่ในตลาดระยะยาว เมื่อใช้อย่างชาญฉลาด ETF จะช่วยสนับสนุนหลักการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพูดคุยเรื่องนี้นำเราไปสู่ข้อควรระวังถัดไปโดยธรรมชาติ… ไม่ใช่ว่ากองทุนดัชนีหรือ ETF ทุกตัวจะเหมือนกัน บางกองทุนอ้างว่าจะเอาชนะตลาดได้ด้วยกลยุทธ์พิเศษ, ค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า, หรือคำสัญญาทางการตลาดต่างๆ
ในบทที่ 16 Bogle จะมาตรวจสอบ ‘กองทุนดัชนีที่สัญญาว่าจะเอาชนะตลาด’ และอธิบายว่าทำไมการตั้งข้อสงสัยและยึดมั่นในความเรียบง่ายจึงมักจะฉลาดกว่าการวิ่งไล่ตามลูกเล่นทางการตลาดครับ
บทที่ 16: กองทุนดัชนีที่สัญญาว่าจะเอาชนะตลาด
ในโลกของการลงทุน มีกองทุนมากมายที่อ้างว่าพวกเขาสามารถเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ John Bogle เตือนว่าคำสัญญาทั้งหลายเหล่านี้มักจะเป็นการทำให้เข้าใจผิดเสียมากกว่า โดยการออกแบบแล้ว กองทุนดัชนีมีเป้าหมายที่จะ ‘ทำผลงานให้ทัดเทียม’ กับตลาด ไม่ใช่ ‘เอาชนะ’ ตลาด คำกล่าวอ้างที่รับประกันว่าจะทำผลงานได้เหนือกว่าตลาดมักจะมาพร้อมกับต้นทุนแฝง, ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น, และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะกลับมากัดกินผลตอบแทนของเราไป
Bogle เน้นย้ำว่าตลาดหุ้นโดยตัวของมันเองคือภาพสะท้อนของธุรกิจทั้งหมดและนักลงทุนทุกคนรวมกัน การจะเอาชนะมันได้อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาหลายสิบปีนั้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพก็ยังแทบจะไม่ประสบความสำเร็จเลย และคนที่ทำได้ก็มักจะมี ‘โชค’ เข้าข้าง ไม่ใช่ ‘ฝีมือ’ นักลงทุนที่วิ่งไล่ตามกองทุนที่อ้างว่าจะชนะตลาดเหล่านี้ กำลังเอาตัวเองไปเสี่ยงกับค่าธรรมเนียมที่สูงและผลลัพธ์ในระยะยาวที่มักจะย่ำแย่
กองทุนต้นทุนสูงที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนพิเศษนั้นเป็นปัญหาอย่างยิ่ง การตลาดและกระแสโฆษณาอาจจะดึงดูดนักลงทุนได้ แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย กองทุนนั้นไม่เพียงแต่จะต้องเอาชนะตลาดให้ได้เท่านั้น แต่ยังต้องทำผลงานให้ครอบคลุมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของตัวเองด้วย เมื่อเวลาผ่านไป ต้นทุนเหล่านี้จะทบต้นและทำงานต่อต้านนักลงทุน สิ่งที่ดูเหมือนเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นในตอนแรก มักจะจบลงด้วยการที่ความมั่งคั่งถูกกัดกร่อนไปอย่างช้าๆ
Bogle ยังชี้ให้เห็นถึงกับดักทางจิตวิทยาด้วย นักลงทุนมักจะหลงใหลในเรื่องราวของกำไรที่น่าทึ่ง พวกเขาเชื่อว่ากลยุทธ์ที่ชาญฉลาด, ข้อมูลวงใน, หรือการบริหารแบบ Active จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดา แต่การวิ่งไล่ตามผลงานในอดีตคือ ‘เกมของผู้แพ้’ หลักการ ‘การหวนคืนสู่ค่าเฉลี่ย’ ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ชนะในวันนี้อาจจะทำผลงานได้ไม่ดีในวันพรุ่งนี้ กองทุนดัชนีที่กระจายความเสี่ยงในวงกว้างและมีต้นทุนต่ำต่างหากที่มอบเส้นทางสู่ความมั่งคั่งในระยะยาวที่น่าเชื่อถือกว่า
อีกประเด็นที่สำคัญคือ ความโปร่งใส กองทุนที่อ้างว่าจะชนะตลาดหลายกองทุนมักจะไม่เปิดเผยเรื่องต้นทุน, อัตราการหมุนเวียนของพอร์ต, และกลยุทธ์ที่ชัดเจน นักลงทุนอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่าผลตอบแทนของพวกเขาถูกค่าธรรมเนียมกินไปมากแค่ไหนจนกระทั่งมันสายเกินไป ความเรียบง่าย, ความชัดเจน, และประสิทธิภาพด้านต้นทุนที่กองทุนดัชนีแบบดั้งเดิมมอบให้ จะช่วยปกป้องนักลงทุนจากท่อรั่วที่ซ่อนอยู่เหล่านี้ได้
Bogle เน้นว่าบทเรียนนี้เป็นสัจธรรมที่อยู่เหนือกาลเวลา นักลงทุนควรจะมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่พิสูจน์แล้ว, วัดผลได้, และอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา นั่นคือ ต้นทุนต่ำ, การกระจายความเสี่ยงในวงกว้าง, การนำเงินปันผลไปลงทุนต่อ, และวินัยในระยะยาว การวิ่งไล่ตามลูกเล่นทางการตลาดและคำสัญญาว่าจะเอาชนะตลาดเป็นเพียงสิ่งรบกวนสมาธิ ที่มักจะมีราคาสูงทั้งในด้านการเงินและอารมณ์
ความเข้าใจนี้นำเราไปสู่มุมมองทางประวัติศาสตร์โดยธรรมชาติ… ถ้า Bogle ได้เดินตามหลักการของ Benjamin Graham ผู้เป็นบิดาแห่งการลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing) เขาจะมีมุมมองต่อกองทุนดัชนีและการลงทุนแบบ Passive อย่างไร?
ในบทที่ 17 Bogle จะพาไปสำรวจว่า ‘Benjamin Graham จะคิดอย่างไรกับการลงทุนในดัชนี’ และเชื่อมโยงปัญญาการลงทุนที่อยู่เหนือกาลเวลาเข้ากับการปฏิบัติในยุคสมัยใหม่
บทที่ 17: Benjamin Graham จะคิดอย่างไรกับการลงทุนในดัชนี?
Benjamin Graham ซึ่งมักถูกขนานนามว่าเป็น ‘บิดาแห่งการลงทุนเน้นคุณค่า’ (Father of Value Investing) ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของวินัย, การวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล, และการคิดในระยะยาว John Bogle ได้ลองไตร่ตรองดูว่า Graham อาจจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับการลงทุนในดัชนี (Index Investing)
แม้ว่า Graham จะมุ่งเน้นไปที่การค้นหาหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง (Undervalued Stocks) แต่ Bogle ก็แย้งว่าหลักการสำคัญของ Graham นั้นสอดคล้องอย่างยิ่งกับการลงทุนแบบ Passive ที่มีต้นทุนต่ำ
Graham เชื่อในการลงทุนโดยมี ‘ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย’ (Margin of Safety), การหลีกเลี่ยงการเก็งกำไร, และการมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยพื้นฐาน แม้ว่ากองทุนดัชนีจะไม่ได้เลือกหุ้นเป็นรายตัว แต่มันก็สะท้อนจิตวิญญาณเดียวกันนี้ ด้วยการให้เราได้เป็นเจ้าของตลาดในวงกว้าง, ลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดผ่านการกระจายความเสี่ยง, และหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนของการทำนายผู้ชนะ นักลงทุนจะได้รับประโยชน์เต็มๆ จากการเติบโตของธุรกิจในขณะที่จำกัดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
Bogle ชี้ว่า Graham น่าจะชื่นชมประสิทธิภาพของการลงทุนในดัชนี มันเป็นระบบ, มีวินัย, และมีต้นทุนต่ำ มันช่วยหลีกเลี่ยงหลุมพรางของการซื้อขายบ่อย, การจับจังหวะตลาด, และการเดิมพันแบบเก็งกำไรที่ Graham เคยเตือนเอาไว้ โดยเนื้อแท้แล้ว การลงทุนในดัชนีเป็นวิธีปฏิบัติที่จับต้องได้ในการปฏิบัติตามหลักการอมตะของ Graham โดยไม่ต้องพึ่งพาโชคหรือพยายามเดาตลาดให้เก่งกว่าใคร
ยิ่งไปกว่านั้น Graham ยังเน้นถึงความสำคัญของความอดทนและมุมมองระยะยาว การลงทุนในดัชนีก็ต้องการกรอบความคิดแบบเดียวกัน ความผันผวนของตลาดในระยะสั้นนั้นไม่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนที่มีวินัยเลย เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี การเติบโตรวมกันของธุรกิจ, เงินปันผล, และการทบต้น จะให้รางวัลแก่ผู้ที่ยังคงอยู่ในการลงทุน ปรัชญาของ Graham ในเรื่องความมีเหตุผลและความระมัดระวังนั้นเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์กับแนวทางแบบ Passive
อีกประเด็นที่ Bogle กล่าวถึงคือ Graham สนับสนุนการลดต้นทุนให้เหลือน้อยที่สุด ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือการเดิมพันแบบเก็งกำไรทุกครั้งจะไปลดทอน ‘ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย’ ของนักลงทุน ซึ่งกองทุนดัชนีทำได้ยอดเยี่ยมในด้านนี้ โดยเสนอค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากและมีประสิทธิภาพทางภาษี นักลงทุนจึงเก็บเกี่ยวผลผลิตจากตลาดได้มากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามหลักการของการสะสมความมั่งคั่งอย่างมีวินัย
Bogle สรุปว่าปัญญาของ Graham นั้นเป็นอมตะ แม้ว่า Graham จะเลือกหุ้นเป็นรายตัว แต่ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลัง ทั้ง ความอดทน, วินัย, การกระจายความเสี่ยง, และการใส่ใจเรื่องต้นทุน ล้วนเป็นรากฐานของการลงทุนในดัชนีที่ประสบความสำเร็จ การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างการเติบโต, ปกป้องความมั่งคั่ง, และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดทั่วไปที่ทำให้กลยุทธ์แบบ Active ส่วนใหญ่ต้องตกรางไป
เรื่องนี้นำเราไปสู่คำถามที่กว้างขึ้นโดยธรรมชาติ… แล้วนักลงทุนควรจะจัดสรรความมั่งคั่งของตนเองระหว่างหุ้นและตราสารหนี้อย่างไร เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความเสี่ยง?
ในบทที่ 18 Bogle จะอธิบายเรื่อง ‘การจัดสรรสินทรัพย์ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้’ โดยให้คำแนะนำที่นำไปปฏิบัติได้จริงในการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่เหมาะสมกับความสำเร็จในระยะยาวครับ
บทที่ 18: การจัดสรรสินทรัพย์ ตอนที่ 1: หุ้นและตราสารหนี้
การลงทุนไม่ได้เป็นเพียงแค่การเลือกกองทุนหรือหุ้น John Bogle เน้นย้ำว่าหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของนักลงทุนก็คือ การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) หรือการกำหนดว่าในพอร์ตโฟลิโอของเราควรจะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเทียบกับตราสารหนี้เท่าไหร่ สัดส่วนนี้จะเป็นตัวกำหนดความเสี่ยง, ผลตอบแทน, และความสำเร็จในระยะยาวเป็นส่วนใหญ่
- หุ้น ให้ ‘การเติบโต’ เพราะมันคือการเป็นเจ้าของกิจการ และได้มีส่วนร่วมในกำไร, เงินปันผล, และมูลค่าที่เพิ่มขึ้น
- ในทางกลับกัน ตราสารหนี้ ให้ ‘ความมั่นคง’ มันจ่ายดอกเบี้ยและมีความผันผวนน้อยกว่าหุ้น
การสร้างสมดุลระหว่างสินทรัพย์สองประเภทนี้ จะช่วยให้นักลงทุนได้รับการผสมผสานระหว่างการเติบโตและการป้องกันที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง
Bogle เน้นว่า ไม่มีสัดส่วนการลงทุนที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกคน นักลงทุนที่อายุน้อยและมีระยะเวลาลงทุนอีกนานอาจจะถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงขึ้น โดยยอมรับความผันผวนในระยะสั้นเพื่อแลกกับการเติบโตที่สูงกว่าในระยะยาว ในขณะที่นักลงทุนที่อายุมากขึ้นหรือใกล้เกษียณอาจจะค่อยๆ ย้ายเงินไปทางตราสารหนี้มากขึ้นเพื่อรักษาเงินต้นและสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง หัวใจสำคัญคือการปรับสัดส่วนให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล ไม่ใช่การวิ่งไล่ตามกระแส
การกระจายความเสี่ยงภายในสินทรัพย์แต่ละประเภทก็สำคัญไม่แพ้กัน การลงทุนในดัชนีหุ้นวงกว้างช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยเฉพาะ ในขณะที่กองทุนตราสารหนี้ที่กระจายความเสี่ยงจะช่วยลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ พอร์ตโฟลิโอที่สร้างขึ้นจากทั้งหุ้นและตราสารหนี้ โดยที่แต่ละส่วนมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี จะช่วยให้นักลงทุนไม่เจอกับความเสี่ยงใดความเสี่ยงหนึ่งมากจนเกินไป การผสมผสานนี้จะช่วยให้ผลตอบแทนราบรื่นขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และช่วยลดความเครียดทางอารมณ์ในช่วงที่ตลาดผันผวนได้
อีกหลักการที่ Bogle เน้นคือ การปรับสมดุลพอร์ต (Rebalancing) ตลาดมีการเคลื่อนไหวทุกวัน และเมื่อเวลาผ่านไป สัดส่วนหุ้นต่อตราสารหนี้ในพอร์ตอาจจะเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ การปรับสมดุลเป็นระยะๆ โดยการขายสินทรัพย์ที่เติบโตเกินเป้าและซื้อสินทรัพย์ที่ยังต่ำกว่าเป้า จะช่วยคืนความสมดุลกลับมาได้ วินัยง่ายๆ ข้อนี้จะช่วยรักษาระดับความเสี่ยงและเพิ่มผลลัพธ์ในระยะยาว
Bogle ยังเตือนไม่ให้ทำการจัดสรรสินทรัพย์ให้ซับซ้อนเกินไปด้วย นักลงทุนบางคนวิ่งไล่ตามกลยุทธ์แปลกๆ, สินค้าโภคภัณฑ์, หรือการลงทุนทางเลือก โดยคิดว่ามันจะช่วยเพิ่มผลงานได้ แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า การลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในวงกว้างแบบเรียบง่ายและต้นทุนต่ำมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากลยุทธ์ที่ซับซ้อนในระยะยาว
สุดท้าย Bogle ตั้งข้อสังเกตว่าการจัดสรรสินทรัพย์ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ สถานการณ์ชีวิต, ระดับความเสี่ยงที่รับได้, และเป้าหมายย่อมเปลี่ยนแปลงไป นักลงทุนที่คอยตรวจสอบสัดส่วนการลงทุนของตนเองเป็นระยะๆ และปรับเปลี่ยนอย่างรอบคอบ จะสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ, รักษา วินัย, และบรรลุการเติบโตที่สม่ำเสมอในระยะยาวได้
เมื่อวางรากฐานของหุ้นและตราสารหนี้แล้ว บทต่อไปจะขยายแนวคิดนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในบทที่ 19 Bogle จะสำรวจ ‘การจัดสรรสินทรัพย์ ภาค 2’ โดยจะเจาะลึกไปที่การปรับแต่งพอร์ตโฟลิโออย่างละเอียด, การบริหารความเสี่ยง, และการวางแผนระยะยาว
บทที่ 19: การจัดสรรสินทรัพย์ ตอนที่ 2
ต่อยอดจากพื้นฐานเรื่องหุ้นและตราสารหนี้ John Bogle จะเจาะลึกเข้าไปในการปรับแต่งการจัดสรรสินทรัพย์ให้ละเอียดยิ่งขึ้น
การจัดสรรสินทรัพย์ไม่ใช่แค่การแบ่งสัดส่วนระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้แบบง่ายๆ แต่มันคือเครื่องมือที่ไม่หยุดนิ่งซึ่งใช้สร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยง, ผลตอบแทน, และเป้าหมายระยะยาว การจัดสรรสินทรัพย์ที่เหมาะสมคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียวในการกำหนดผลการดำเนินงานของพอร์ตโฟลิโอ
Bogle ย้ำว่าการจัดสรรสินทรัพย์ควรจะสะท้อนถึงสถานการณ์ส่วนบุคคล, อายุ, ระดับความเสี่ยงที่รับได้, ความต้องการกระแสเงินสด, และเป้าหมายทางการเงิน นักลงทุนที่อายุน้อยสามารถที่จะเสี่ยงได้มากกว่า โดยถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงขึ้นเพื่อการเติบโต ในทางกลับกัน คนที่เกษียณแล้วต้องการความมั่นคงและรายได้ จึงควรจะเน้นไปที่ตราสารหนี้และสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ หัวใจสำคัญคือการปรับสัดส่วนให้เข้ากับสถานการณ์ของนักลงทุนแต่ละคน ไม่ใช่การทำตามคำแนะนำทั่วๆ ไป
การกระจายความเสี่ยง คือชั้นความปลอดภัยถัดไปภายในกลุ่มสินทรัพย์หุ้น การกระจายการลงทุนไปในบริษัทขนาดใหญ่, กลาง, และเล็ก รวมถึงภาคอุตสาหกรรมและภูมิภาคที่แตกต่างกัน จะช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวได้ ส่วนในกลุ่มตราสารหนี้ การผสมผสานระหว่างพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนที่มีอายุแตกต่างกันไป จะช่วยสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความมั่นคง การกระจายความเสี่ยงในวงกว้างเช่นนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า จะไม่มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจหรือความผันผวนของตลาดใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตโฟลิโอมากจนเกินไป
Bogle ยังเน้นถึงความสำคัญของ วินัยในการปรับสมดุลพอร์ต (Rebalancing) เมื่อเวลาผ่านไป การเคลื่อนไหวของตลาดสามารถทำให้สัดส่วนการลงทุนของคุณเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายได้ หุ้นอาจจะเติบโตเร็วกว่าตราสารหนี้ ทำให้ความผันผวนของพอร์ตเพิ่มขึ้น การปรับสมดุลเป็นระยะๆ โดยการขายสิ่งที่เติบโตเกินไปและซื้อสิ่งที่ยังตามหลังอยู่ จะช่วยฟื้นฟูความสมดุล, ลดความเสี่ยง, และบังคับให้เรามีวินัยในการ ‘ซื้อถูก ขายแพง’ ไปในตัว
อีกหลักการที่ Bogle ขีดเส้นใต้คือ ความเรียบง่ายและประสิทธิภาพด้านต้นทุน นักลงทุนอาจจะถูกล่อใจให้ใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อน, เฮดจ์ฟันด์, หรือการลงทุนทางเลือก อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าพอร์ตโฟลิโอที่กระจายความเสี่ยงในวงกว้างและมีต้นทุนต่ำมักจะทำผลงานได้ดีกว่ากลยุทธ์ที่ซับซ้อนส่วนใหญ่ในระยะยาว ความซับซ้อนมักจะเพิ่มต้นทุนและลดผลตอบแทนสุทธิโดยไม่ได้เพิ่มความได้เปรียบที่สำคัญอะไรเลย
Bogle ยังพิจารณาถึงมิติทางจิตวิทยาด้วย การจัดสรรสินทรัพย์ที่เหมาะสมจะช่วยลดความวิตกกังวลในช่วงที่ตลาดผันผวน การรู้ว่าพอร์ตโฟลิโอของเราถูกจัดโครงสร้างตามระดับความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมายระยะยาว จะช่วยให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการเทขายด้วยความตื่นตระหนกในช่วงขาลง และการไล่ซื้อด้วยความโลภในช่วงขาขึ้นได้ การมีวินัยทางอารมณ์จะง่ายขึ้นเมื่อการจัดสรรสินทรัพย์สอดคล้องกับเป้าหมาย
สุดท้าย Bogle ย้ำว่าการจัดสรรสินทรัพย์ไม่ใช่การตัดสินใจครั้งเดียวจบ สถานการณ์ชีวิต, สภาพตลาด, และเป้าหมายย่อมเปลี่ยนแปลงไป การทบทวนและปรับสัดส่วนเป็นระยะๆ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าพอร์ตโฟลิโอของคุณยังคงสอดคล้องกับเป้าหมาย และช่วยให้คุณก้าวหน้าไปสู่ความมั่นคงทางการเงินได้อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อโครงสร้างการจัดสรรสินทรัพย์ถูกวางไว้อย่างรอบคอบแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการพิจารณาถึงมุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับคำแนะนำด้านการลงทุน
ในบทที่ 20 Bogle จะมาพูดถึง ‘คำแนะนำการลงทุนที่ผ่านการพิสูจน์ของกาลเวลา’ โดยมอบแนวทางที่เป็นอมตะเพื่อความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวอย่างสม่ำเสมอครับ
บทที่ 20: คำแนะนำการลงทุนที่ผ่านการพิสูจน์ของกาลเวลา
ในโลกที่เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน, หุ้นเด็ดจากวงใน, และการทำนายตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง John Bogle ได้ย้ำเตือนนักลงทุนถึงสัจธรรมข้อหนึ่งที่เป็นอมตะ นั่นคือ:
คำแนะนำการลงทุนที่ดีที่สุดนั้นเรียบง่าย, ใช้ได้จริง, และผ่านการพิสูจน์มานานหลายสิบปี มันไม่ได้พึ่งพาการเก็งกำไร, กระแส, หรือการวิ่งไล่ตามเทรนด์ แต่จะมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ระยะยาวที่มีวินัยและต้นทุนต่ำ ซึ่งสามารถยืนหยัดผ่านการทดสอบของกาลเวลาได้
Bogle เน้นย้ำถึง เสาหลัก 4 ประการ ของคำแนะนำการลงทุนที่ยั่งยืน:
- มุ่งเน้นที่การลงทุนต้นทุนต่ำ: ทุกๆ บาทที่จ่ายไปเป็นค่าธรรมเนียม, ค่าคอมมิชชัน, หรือการซื้อขายที่ไม่จำเป็น จะลดทอนผลตอบแทนลง การลดต้นทุนให้เหลือน้อยที่สุดคือหนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเพิ่มผลงานในระยะยาว
- น้อมรับการกระจายความเสี่ยง: การลงทุนในตลาดวงกว้างจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง, ภาคอุตสาหกรรมใดหนึ่ง, หรือภูมิภาคใดหนึ่ง การกระจายความเสี่ยงช่วยให้มั่นใจได้ถึงการเติบโตที่มั่นคงในขณะที่ลดความผันผวนให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้นักลงทุนได้รับประโยชน์จากแนวโน้มขาขึ้นโดยรวมของตลาด
- รักษาความอดทนและวินัย: ‘เวลาที่อยู่ในตลาด’ สำคัญกว่า ‘การพยายามจับจังหวะตลาด’ มากมายนัก นักลงทุนที่ยังคงลงทุนต่อไป, นำเงินปันผลไปลงทุนต่อ, และหลีกเลี่ยงการตอบสนองด้วยอารมณ์ต่อความผันผวนในระยะสั้น จะสามารถเก็บเกี่ยวพลังของการทบต้นและการเติบโตในระยะยาวได้
- ปรับการลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายส่วนตัวและระดับความเสี่ยงที่รับได้: ไม่มีพอร์ตโฟลิโอที่เป็นสูตรสำเร็จสำหรับทุกคน สัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างหุ้นและตราสารหนี้, การเลือกกองทุนดัชนี, และระดับความเสี่ยงที่รับได้นั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล การทำตามแผนที่ปรับให้เข้ากับเป้าหมายส่วนตัวจะช่วยลดความวิตกกังวลและป้องกันการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นได้
Bogle ยังเตือนไม่ให้พึ่งพาที่ปรึกษามากเกินไปหรือวิ่งไล่ตามกลยุทธ์ที่แปลกใหม่ ที่ปรึกษาที่แท้จริงสามารถให้การโค้ชด้านพฤติกรรมและวางโครงสร้างให้ได้ แต่มูลค่าของพวกเขาอยู่ที่การช่วยตอกย้ำหลักการอมตะเหล่านี้ ไม่ใช่อยู่ที่คำสัญญาว่าจะเอาชนะตลาด กองทุนที่บริหารแบบ Active ส่วนใหญ่ล้มเหลวในการทำผลงานให้ดีกว่าตลาดหลังหักค่าใช้จ่ายและภาษีแล้ว ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำพลังของการลงทุนที่เรียบง่ายและมีวินัย
หัวใจของคำแนะนำที่ผ่านการทดสอบของกาลเวลาคือ ความเรียบง่าย, การใส่ใจเรื่องต้นทุน, และการมุ่งเน้นในระยะยาว กลยุทธ์ที่ซับซ้อน, การซื้อขายบ่อย, และการจับจังหวะตลาดมักจะเป็นเพียงสิ่งรบกวนที่ลดทอนผลตอบแทนสุทธิ นักลงทุนจะประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนได้โดยการทำให้แนวทางของตนเองนั้นตรงไปตรงมา, วัดผลได้, และสอดคล้องกับหลักการที่ยั่งยืน
สุดท้าย Bogle สนับสนุนให้นักลงทุนคิดให้ไกลกว่ากำไรในระยะสั้น การสะสมความมั่งคั่งคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น วินัย, ต้นทุนต่ำ, การกระจายความเสี่ยงในวงกว้าง, และมุมมองระยะยาว จะให้รางวัลแก่ผู้ที่ยึดมั่นในหลักการเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ
หลังจากที่ครอบคลุมปัจจัยพื้นฐานทั้งหมดแล้ว Bogle ก็ได้ปิดท้ายหนังสือเล่มนี้ด้วย ‘กิตติกรรมประกาศ’ โดยให้เกียรติแก่ผู้ที่มีส่วนร่วม, อาจารย์, และนักคิดทั้งหลายที่ปัญญาของพวกเขาได้หล่อหลอมปรัชญาของเขาขึ้นมา ในบทที่ 21 เขาได้แสดงความขอบคุณพร้อมกับยืนยันอีกครั้งถึงพลังที่ยั่งยืนของการลงทุนแบบใช้สามัญสำนึกและหลักการที่จะนำทางนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทุกคน
บทที่ 21: กิตติกรรมประกาศ
John Bogle ปิดท้ายหนังสือ ‘The Little Book of Common Sense Investing’ ด้วยการแสดงความขอบคุณต่อผู้คนมากมายที่มีอิทธิพลต่อความคิดของเขาและสนับสนุนงานของเขา เขาให้เกียรติแก่อาจารย์, เพื่อนร่วมงาน, ครอบครัว, และนักลงทุนนับไม่ถ้วนที่คำถาม, ประสบการณ์, และความคิดเห็นของพวกเขาได้ช่วยหล่อหลอมปรัชญาของเขาขึ้นมา
Bogle ย้ำว่าการลงทุนไม่ใช่การเดินทางโดยลำพัง แนวคิดในหนังสือเล่มนี้สะท้อนถึงการเรียนรู้ที่สั่งสมมานานหลายสิบปีจากประสบการณ์, การสังเกต, และการทำงานร่วมกัน เขาขอบคุณผู้นำและนักคิดในโลกการเงินที่ได้แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์, วินัย, และการมุ่งเน้นในระยะยาว ซึ่งช่วยตอกย้ำหลักการที่เขาแบ่งปันกับผู้อ่าน
เขายังให้เกียรติแก่นักลงทุนรายย่อยนับไม่ถ้วนที่ได้นำแนวคิดเหล่านี้ไปใช้ และพิสูจน์ให้เห็นว่าการลงทุนที่เรียบง่าย, ต้นทุนต่ำ, และมีวินัยนั้นได้ผลจริงในระยะยาว ความสำเร็จและความล้มลุกคลุกคลานของพวกเขาได้มอบบทเรียนอันล้ำค่าที่ช่วยหล่อหลอมคำแนะนำในหนังสือเล่มนี้
สุดท้าย Bogle ขอบคุณครอบครัวของเขาสำหรับการสนับสนุนและความอดทน ที่เข้าใจถึงความทุ่มเทที่ต้องใช้ในการสร้างปรัชญาการลงทุนและบริหารสถาบันการเงินที่บุกเบิกแนวคิดใหม่ กำลังใจจากพวกเขาทำให้เขาสามารถจดจ่อกับงาน, การวิจัย, และการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของนักลงทุนได้
Bogle ปิดท้ายด้วยการย้ำเตือนว่าการลงทุนไม่ใช่เรื่องของโชคหรือการเก็งกำไรระยะสั้น แต่มันคือ ความอดทน, วินัย, และการยึดมั่นในหลักการอมตะ การให้เกียรติแก่ผู้ที่มีส่วนร่วมในการเดินทางครั้งนี้เป็นการตอกย้ำสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้: การลงทุนด้วยความซื่อสัตย์, ความเรียบง่าย, และการมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน จะนำไปสู่ความสำเร็จทางการเงินที่ยั่งยืน
และนี่คือการปิดฉากการเดินทางของหนังสือ ‘The Little Book of Common Sense Investing’ ทิ้งไว้ให้ผู้อ่านซึ่งกรอบความคิดที่ชัดเจนและนำไปใช้ได้จริง: ลดต้นทุนให้เหลือน้อยที่สุด, กระจายความเสี่ยงในวงกว้าง, อดทน, และมุ่งเน้นที่การสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวเสมอ
บทสรุป
และแล้วเราก็ได้เดินทางผ่านปัญญาของ John Bogle เรียนรู้หลักการอมตะของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่การทำความเข้าใจวัฏจักรของตลาด, การมุ่งเน้นที่กองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ, การน้อมรับการกระจายความเสี่ยง, การฝึกฝนความอดทน, ไปจนถึงการสร้างสมดุลระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ และการหลีกเลี่ยงกับดักของการเก็งกำไร หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นว่า ‘สามัญสำนึก’ คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการลงทุน
สาระสำคัญนั้นเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง: ความมั่งคั่งไม่ได้สร้างขึ้นจากทางลัด, กระแส, หรือการวิ่งไล่ตามผู้ชนะ แต่มันจะเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงเมื่อเราลดต้นทุนให้เหลือน้อยที่สุด, รักษาวินัย, ลงทุนในวงกว้าง, และมุ่งมั่นกับระยะยาว ปรัชญาของ Bogle ย้ำเตือนเราว่าการลงทุนไม่ใช่การพนัน แต่มันคือการเดินทางที่ความสม่ำเสมอ, ความเรียบง่าย, และความอดทน คือกุญแจสู่ความสำเร็จ
จำไว้ว่า ตลาดมีขึ้นมีลง ช่วงเวลาดีๆ อาจไม่ได้อยู่กับเราเสมอไป และการขาดทุนในระยะสั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จะทำให้นักลงทุนสามารถยืนหยัดอยู่บนคลื่นลม, ได้รับประโยชน์จากการทบต้น, และบรรลุการเติบโตทางการเงินที่ยั่งยืนได้
ถ้าคุณคิดว่าบทสรุปนี้มีประโยชน์ และต้องการข้อมูลเชิงลึก, สรุปหนังสือที่มีรายละเอียด, และเคล็ดลับที่นำไปใช้ได้จริงเพื่อสร้างความมั่งคั่งและเพิ่มพูนความเข้าใจทางการเงินของคุณ ก็อย่าลืมกดติดตามช่องนะครับ กดกระดิ่งแจ้งเตือนไว้ด้วย จะได้ไม่พลาดอัปเดตใหม่ๆ และเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนักลงทุนที่ฉลาด, มีวินัย, และคิดไปข้างหน้าด้วยกันนะครับ
การเดินทางสู่ปัญญาทางการเงินของคุณเริ่มต้นจากความรู้ และการนำมันไปใช้อย่างสม่ำเสมอคือเส้นทางสู่อิสรภาพและความมั่นคง
เริ่มตั้งแต่วันนี้ รักษาวินัยเข้าไว้ และปล่อยให้พลังของการลงทุนแบบใช้สามัญสำนึกทำงานเพื่อคุณครับ