The Kybalion: กฎแห่งอำนาจที่สั่นสะเทือนจักรวาล พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน และความจริงที่มนุษยชาติยังพร้อมจะรับมือ [ต้องอ่าน!]

มีคำกล่าวที่ว่า “สิ่งที่คุณกำลังแสวงหาก็กำลังแสวงหาคุณ”

ใช่แล้ว…คุณไม่ได้เป็นคนเจอเนื้อหานี้ แต่เนื้อหานี้ต่างหากที่ตามหาคุณเจอ! แล้วจะบอกให้ว่านี่ไม่ใช่แค่เนื้อหาธรรมดาทั่วไป แต่มันเกี่ยวกับ “คิบาลีออน” (KYBALION) หรือที่คนภาษาไทยเรียกว่า “คัมภีร์ไคบาเลียน” หนึ่งในหนังสือที่โคตรจะลึกลับและทรงพลังที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมาเลยก็ว่าได้

The Kybalion เป็นเหมือนคัมภีร์ลับสุดยอดที่เปิดเผย “กฎ” ที่ควบคุมความเป็นจริงทั้งปวง แต่ประเด็นคือ แทบจะไม่มีใครเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ เพราะหนังสือเล่มนี้มันจะปรากฏตัวให้เห็นก็ต่อเมื่อ… คุณพร้อมแล้วเท่านั้น!

อาจจะฟังดูพิลึกพิลั่นในความคิดแบบตรรกะของคุณนะครับ แต่เชื่อเถอะว่าในชีวิตคนเรา มันจะมีบางช่วงเวลาที่ข้อมูลบางอย่าง หรือความรู้บางชุด จะเผยตัวออกมาให้เรารับรู้ก็ต่อเมื่อ “จิตวิญญาณ” ของเรามันเติบโตพอที่จะรองรับสิ่งนั้นได้จริงๆ และถ้าคุณกำลังฟังเรื่องนี้อยู่ นั่นก็เพราะว่า… วินาทีนั้นของคุณมาถึงแล้วล่ะครับ

สิ่งที่คุณกำลังจะได้รู้จากตรงนี้ มันไม่มีสอนในโรงเรียน คุณจะหามันไม่เจอในหนังสือทั่วไปตามแผงแน่ๆ ความรู้นี้มันเก่าแก่ มันลึกซึ้ง และมันเป็นเรื่องของ “แรงสั่นสะเทือน” (Vibrational) ลองนึกภาพนะครับว่ามันถูกส่งต่อกันมาแบบเงียบๆ เป็นพันๆ ปี จากผู้รู้สู่ผู้รู้ จากครูบาอาจารย์สู่ศิษย์ในวงจำกัด เฉพาะในหมู่คนที่กล้าพอจะมองให้ลึกลงไปใต้เปลือกของความเป็นจริงที่เราเห็นๆ กันอยู่

ในปรัชญาเฮอร์เมติก (Hermetic Wisdom) หรือศาสตร์โบราณว่าด้วยความลี้ลับเนี่ย ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญหรอก ขนาดในตัวคิบาลีออนเองยังเขียนไว้เลยว่า “คำว่า ‘โชค’ หรือ ‘ความบังเอิญ’ มันก็เป็นแค่ชื่อที่เราตั้งให้กฎที่เรายังไม่รู้จักมันดีพอเท่านั้นเอง” (Chance is but a name for law not recognized.)

เพราะฉะนั้น อย่าคิดเลยว่าการที่คุณมาอยู่ตรงนี้มันเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่ใช่แน่ๆ! ลึกๆ ข้างในตัวคุณนั่นแหละ ที่ร้องขอคำตอบ ร้องขอความกระจ่าง ร้องหาทางออกบางอย่าง… และจักรวาลก็ได้ตอบรับคุณแล้ว ผ่านวิดีโอนี้ ผ่านถ้อยคำเหล่านี้ ผ่านแรงสั่นสะเทือนนี้ยังไงล่ะครับ

ตามหลักของ Kybalion (คิบาลีออน) แล้วเนี่ย ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มต้นใน “จิต” (Mind) ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ ก่อนที่มันจะปรากฏเป็นรูปเป็นร่างในโลกให้เราเห็น มันเคยเป็นแค่ความคิด เป็นความตั้งใจมาก่อนทั้งนั้น

ขนาดการที่คุณมาอยู่ตรงนี้ กำลังฟังเรื่องนี้อยู่เนี่ย มันก็คือการก่อเกิดเป็นรูปธรรมของบางสิ่งที่มันเริ่มขึ้นจากข้างในตัวคุณเอง เป็นเหมือนเสียงเรียกที่มองไม่เห็น

คนโบราณเขารู้เรื่องนี้ดีครับ! นั่นแหละคือเหตุผลที่พวกเขาซ่อนเร้นปัญญาเหล่านี้ไว้ในตำนานปรัมปรา ในสัญลักษณ์ ในคำอุปมาอุปมัยต่างๆ สัจธรรมความจริงน่ะ ไม่เคยถูกป่าวประกาศเสียงดังหรอกครับ มันกระซิบ… เพราะมันจะได้ยินก็เฉพาะกับคนที่ “พร้อม” จะฟังอย่างแท้จริงเท่านั้น

ย้อนกลับไปในอดีตกาลอันไกลโพ้นนานมากก่อนที่ศาสนาที่เราๆ รู้จักกันในปัจจุบันจะถือกำเนิดขึ้นซะอีก ว่ากันว่ามีบุรุษท่านหนึ่ง หรืออาจจะเป็น “สภาวะรู้” (Consciousness) หนึ่ง ที่ดูเหมือนจะกุมรหัสลับของจักรวาลนี้ไว้ทั้งหมด

เขาผู้นั้นถูกขนานนามว่า เฮอร์เมส ทริสเมกิสทัส (Hermes Trismegistus) คำว่า “ทริสเมกิสทัส” เนี่ย แปลว่า “ผู้ยิ่งใหญ่สามเท่า” คือ ยิ่งใหญ่ในปัญญา ยิ่งใหญ่ในพลังอำนาจ และยิ่งใหญ่ในความรักที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด

แต่เฮอร์เมสที่ว่าเนี่ยไม่ใช่แค่บุคคลธรรมดาๆนะครับ เขาคือการหลอมรวมมีชีวิตของสองอารยธรรมโบราณที่ทรงภูมิปัญญา นั่นคือ “ธอธ” (Thoth) เทพเจ้าแห่งปัญญาและการจารึกอักษรอันศักดิ์สิทธิ์ของอียิปต์โบราณ กับ “เฮอร์เมส” (Hermes) เทพผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพในตำนานเทพปกรณัมกรีก

สององค์นี้เมื่อรวมกันแล้ว จึงเป็นดั่งสะพานเชื่อมระหว่างโลกที่มองเห็นกับโลกที่มองไม่เห็นเลยทีเดียว

ลองจินตนาการตามนะครับ… ในขณะที่มนุษย์ส่วนใหญ่ในยุคนั้นยังวุ่นอยู่กับการเอาชีวิตรอดไปวันๆ มันกลับมีกลุ่มคนผู้แสวงหาความจริงกลุ่มหนึ่ง ที่ไปรวมตัวกันในวิหารอันเงียบสงัด ไกลจากสายตาของผู้คนทั่วไป

ที่นั่น… บนผนังที่เต็มไปด้วยอักษรเฮียโรกลิฟิกและสัญลักษณ์ลึกลับต่างๆ มีบางสิ่งบางอย่างถูกสอนถ่ายทอด ซึ่งมันล้ำลึกไปไกลเกินกว่าเรื่องศาสนาหรือปรัชญาทั่วไปมากๆ พวกเขาสอนกันถึงเรื่อง “ความเป็นจริงมันทำงานยังไง” (How reality works) เลยทีเดียว!

เฮอร์เมสได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้ง “โรงเรียนแห่งความลี้ลับ” (Mystery School) แห่งแรกของอียิปต์เลยนะครับ ไม่ใช่โรงเรียนแบบที่เราเรียนๆ กันอยู่ทุกวันนี้นะ แต่เป็นสถานที่ที่ศิษย์ไม่ได้เรียนรู้จากการอ่านหรือการท่องจำ

แต่พวกเขาเรียนรู้ผ่าน “ประสบการณ์ตรง” กับสัจธรรม! ทุกสัญลักษณ์ ทุกพิธีกรรม ทุกคำสอน มันคือ “กุญแจเชิงแรงสั่นสะเทือน” (Vibrational Key) พวกเขาศึกษาเรื่องวงจรของเวลา พลังของถ้อยคำ ตัวเลขในฐานะที่เป็นการแสดงออกของจิตวิญญาณ เสียงอันศักดิ์สิทธิ์ เรขาคณิตของดวงวิญญาณ

และเหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ พวกเขาเรียนรู้ที่จะมองเข้าไปข้างในตัวเอง เพราะวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันคือ “วิหารภายใน” (Inner Temple) ของเราแต่ละคนเสมอ

ความรู้ของเฮอร์เมสไม่ได้ถูกส่งต่อให้ใครก็ได้ มันถูกปิดผนึก ถูกป้องกัน ถูกซ่อนเร้นไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง… ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะรับมันไปโดยที่ไม่บิดเบือนหรือทำลายมันเสียก่อน

นี่แหละครับคือที่มาของคำที่เรายังใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ คือคำว่า “เฮอร์เมติก” (Hermetic) เวลาเราพูดว่าอะไรบางอย่างมัน “เฮอร์เมติก” เราหมายความว่ามันถูกปิดตาย ป้องกันอย่างแน่นหนา ปิดผนึกไว้อย่างดี

นั่นแหละครับคือวิธีการที่คำสอนลับโบราณเหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้ ไม่ใช่เพราะความหยิ่งยโสโอหังอะไรหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะ “ปัญญา” ล้วนๆ

ลองคิดดูง่ายๆแบบนี้นะครับ

  • คุณจะยื่นมีดคมกริบให้เด็กเล็กๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวไหม?
  • หรือคุณจะเปิดเผยสูตรเคมีที่ทรงอานุภาพให้กับคนที่ไม่เข้าใจถึงผลกระทบของมันหรือเปล่า?

มันก็เหมือนกันเปี๊ยบเลยครับกับความรู้ทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งมากๆ ถ้าคนคนนั้นยังไม่พร้อมจากภายในจริงๆ เขาอาจจะเอามันไปใช้ในทางที่ทำลาย ไปบงการควบคุมคนอื่น ไปป้อนอัตตาตัวตน หรือไม่ก็เอาไว้หลีกหนีจากชีวิตจริงไปเลย

นั่นแหละครับคือเหตุผลที่เฮอร์เมสและศิษยานุศิษย์ของท่านซ่อนเร้นสัจธรรมเหล่านี้ไว้ภายในสัญลักษณ์ต่างๆ มีแต่คนที่ “พร้อม” เท่านั้นแหละครับ ถึงจะถอดรหัสความหมายที่แท้จริงของมันออกมาได้

ว่ากันว่าเฮอร์เมสได้เขียนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไว้ถึง 36,525 เล่ม (ตามบันทึกบางส่วน หรืออาจจะเป็น 42 เล่มตามที่ Clement of Alexandria กล่าวถึง ซึ่งครอบคลุมองค์ความรู้มหาศาล) ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างเลยครับ

ไม่ว่าจะเป็น

  • การแพทย์เชิงแรงสั่นสะเทือน (Vibrational Medicine)
  • จิตวิญญาณเชิงจิตวิทยา (Soul Psychology)
  • โหราศาสตร์ขั้นสูง (Initiatory Astrology)
  • กฎจักรวาล (Universal Laws)
  • ภาษาลับของตัวเลขและสัญลักษณ์ (Secret language of numbers and symbols)
  • ไปจนถึงกายวิภาคศาสตร์อันเร้นลับของร่างกายมนุษย์ (Subtle anatomy of the human body)

น่าเสียดายที่งานเขียนจำนวนมากเหล่านี้ได้สูญหายไปตามกาลเวลา ส่วนหนึ่งก็ถูกเผาทำลายไปในกองเพลิงที่เผา ห้องสมุดอเล็กซานเดรีย (Library of Alexandria) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอาชญากรรมทางจิตวิญญาณที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว

แต่! ไม่ใช่ทุกอย่างที่ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ส่วนหนึ่งขององค์ความรู้อันยิ่งใหญ่นี้ยังคงหลงเหลือรอดพ้นมาได้

หลายศตวรรษต่อมา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ปี ค.ศ. 1908 ก็ได้มีหนังสือเล่มเล็กๆ แต่แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจมหาศาลปรากฏตัวขึ้น… นั่นแหละครับ “คิบาลีออน” ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่!

เอาล่ะครับ เราจะมาดำดิ่งสู่เรื่องราวของหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกเลยว่าไม่ธรรมดา มันคือ “คัมภีร์ไคบาเลียน” (The KYBALION) ที่เขียนขึ้นโดยกลุ่มผู้ใช้นามแฝงว่า “ผู้รู้แจ้งสามคน” (the three initiates) ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเลย

ต้องบอกก่อนว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ถูกแต่งขึ้นมาใหม่แบบสดๆ ร้อนๆ จากจินตนาการนะครับ แต่มันคือการสังเคราะห์แก่นแท้ที่สั่นสะเทือนด้วยพลังแห่งกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ถูกถ่ายทอดแบบปากต่อปากกันมาเป็นพันๆปีในสายปัญญาของศาสตร์เฮอร์เมติก (hermetic lineage) ซึ่งเป็นศาสตร์ลี้ลับโบราณที่สืบทอดมาจาก “เฮอร์เมส ทริสเมกิสทัส” บรมครูแห่งอียิปต์โบราณ

หลายคนเชื่อกันว่า “ผู้รู้แจ้งทั้งสาม” เนี่ย ไม่ใช่แค่ศึกษาคำสอนของเฮอร์เมสหรอกครับ แต่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับแก่นแท้ของศาสตร์เฮอร์เมติก จนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แล้วนำสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเปิดเผยอย่างเงียบงันเฉพาะในเหล่ามหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ มาแปลและถ่ายทอดให้คนยุคใหม่อย่างเราๆ ได้เข้าใจกัน

“คัมภีร์ไคบาเลียน” ไม่ใช่หนังสือที่จะอ่านผ่านๆแล้วจบนะครับ มันเหมือนกระจกเงาบานใหญ่เลย ถ้าใจคุณยังปิดอยู่ คุณก็อาจจะเห็นแค่ถ้อยคำสวยๆ หรูๆ ที่อ่านแล้วก็ผ่านไป

แต่ถ้าคุณเปิดใจอ่านด้วยหัวใจที่ตื่นรู้แล้วล่ะก็…โอ้โห! แต่ละประโยค แต่ละถ้อยคำ มันจะเหมือนกับเปิดประตูมิติบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณเลยทีเดียว หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาโชว์ทฤษฎีให้คุณทึ่งนะครับ แต่เขาต้องการจะ “เปลี่ยน” วิธีที่คุณมองความเป็นจริงไปเลยต่างหาก!

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ นะครับ ตอนที่ “คัมภีร์ไคบาเลียน” บอกว่า “ริมฝีปากแห่งปัญญาจะปิดสนิท ยกเว้นต่อโสตประสาทแห่งความเข้าใจ” (The lips of wisdom are closed except to the ears of understanding)

มันหมายความว่าคำสอนที่แท้จริงน่ะ จะเปิดเผยตัวมันเองก็ต่อเมื่อศิษย์คนนั้น “พร้อม” แล้วจากข้างในจริงๆ เหมือนกับเครื่องดนตรีนั่นแหละครับ คุณอาจจะกำลังถือไวโอลินล้ำค่าราคาหลายล้านอยู่ในมือ แต่ถ้าหูคุณยังไม่ถึง หรือไม่เคยฝึกฝนมา คุณก็จะไม่ได้ยินความงดงามสุดพรรณนาของเสียงมันหรอกจริงไหมครับ?

ปัญญาก็เหมือนกันเลย มันอาจจะวางอยู่ตรงหน้าคุณแท้ๆ แต่มันจะเผยตัวก็ต่อเมื่อคุณ “จูน” คลื่นความคิดและจิตใจให้ตรงกับมันเท่านั้น

และบางที…นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่คุณกำลังนั่งฟังหรืออ่านเรื่องราวเหล่านี้อยู่ก็ได้นะครับ เพราะบางทีลึกๆ ข้างในตัวคุณมันกำลังร่ำร้องหาคำตอบอะไรบางอย่างที่มันลึกซึ้งกว่าเดิม และเมื่อจิตวิญญาณมันเอ่ยถามออกไป จักรวาลก็จะขานรับเสมอ นั่นแหละครับคือสิ่งที่สายปัญญาเฮอร์เมติกเป็นมาตลอด มันคือการตอบสนองอย่างเงียบงันแต่ทรงพลังต่อเสียงเรียกจากจิตวิญญาณของคุณ

“คัมภีร์ไคบาเลียน” จึงเป็นมากกว่าหนังสือครับ มันคือคำเชื้อเชิญให้คุณก้าวเข้าสู่การมองโลกในมุมมองใหม่ และ “เฮอร์เมส ทริสเมกิสทัส” พร้อมด้วยปัญญาญาณอันเก่าแก่ของท่าน ก็ยังคงมีชีวิตชีวาอยู่ในตัวของทุกคนที่เลือกจะดำดิ่งลงไปในสัจธรรมนี้ และหวนรำลึกให้ได้ว่า…ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาคือใคร ฟังแล้วขนลุกซู่เลยใช่ไหมล่ะ!

และทั้งหมดที่ว่ามานี้ มันจะ “เมคเซนส์” หรือเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งสุดๆ ก็ต่อเมื่อคุณได้ล่วงรู้ “ความลับสุดยอด” ข้อหนึ่งที่ปรมาจารย์โบราณเคยเปิดเผยเอาไว้ นั่นก็คือ… จักรวาลนี้ไม่ได้สร้างขึ้นจากสสาร แต่มันสร้างขึ้นจาก “จิต” (Mind) ครับ!

เดี๋ยวก่อนนะครับ! ไม่ใช่ “จิต” ในความหมายแบบความคิดวุ่นวายสับสนที่วิ่งพล่านอยู่ในหัวของเราทุกวันนี้นะครับ แต่เป็น “จิต” ในความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นมากๆ

จิตในที่นี้คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่นี้ คือ “การสำแดงออกมาของจิต” (mental manifestation) เป็น “ความคิดอันมีสำนึก” (conscious thought) ที่ดำรงอยู่ภายใน “จิตสำนึกอันไร้ขอบเขต” (infinite consciousness) ซึ่งแทรกซึมแผ่ไพศาลไปในทุกสรรพสิ่ง!

นี่คือหลักการข้อแรกและเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของศาสตร์เฮอร์เมติกที่เรียกว่า “หลักการแห่งจิตนิยม” (The Principle of Mentalism) ที่กล่าวไว้ว่า “องค์รวมคือจิต จักรวาลเป็นเรื่องของจิต” (The ALL is Mind; The Universe is Mental)

แล้วในทางปฏิบัติมันหมายความว่ายังไงน่ะเหรอ? ลองจินตนาการตามนี้นะครับ…ตอนนี้ คุณกำลังอยู่ภายใน “ความฝัน” อันยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่ฝันธรรมดาๆนะครับ มันเป็นฝันที่มีชีวิต มีปัญญา มีความสอดคล้องต้องกัน มีกฎเกณฑ์ มีวัฏจักร มีจังหวะจะโคน และมีรูปแบบของมันเอง ทุกสิ่งที่คุณเห็น ได้ยิน สัมผัส หรือรู้สึก ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความฝันนั้น

แต่ที่ไม่เหมือนความฝันตอนคุณหลับกลางคืนก็คือ ความฝันนี้มันถูก “แชร์” หรือ “ร่วมกันฉาย” ขึ้นมาโดย “จิต” ที่มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลและสูงส่งเสียเหลือเกิน จนทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ล้วนบรรจุอยู่ภายในนั้น “จิต” ที่ว่านี้แหละครับ

จิต ที่นักปราชญ์เฮอร์เมติกเรียกว่า “องค์รวม” (The ALL) พวกชาวฮินดูอาจจะเรียกว่า “มหาอาตมัน” (Maharathma) หรือจิตจักรวาล พวกนอสติก (Gnostics) โบราณเรียกว่า “เพลโรม่า” (Pleroma) หรือความเต็มเปี่ยมแห่งต้นกำเนิด

บางคนก็เรียกว่า “พระเจ้า” (God) บ้างก็เรียกว่า “สนามพลังงาน” (the Field)

หากเป็นสาย อภิปรัชญา หรือ metaphysics ก็เรียกว่า จิตจักรวาล (Universal Mind)

นโปเลียน ฮิลล์ (Napoleon Hill) และ นักเขียนหรือผู้นำแนวพัฒนาตัวเองสมัยใหม่ เรียกว่า Infinite Intelligence หรือ ปัญญาอันไร้ขีดจำกัด

เอาหละ ชื่ออาจจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและวัฒนธรรมนะครับ แต่ความลี้ลับอันยิ่งใหญ่นั้นยังคงเดิม เราทุกคนใช้ชีวิต เคลื่อนไหว และดำรงอยู่ภายใน “จิตที่มีชีวิต” ดวงนี้นั่นเอง!

ทีนี้ลองคิดตามอีกนิดนะครับ…เวลาคุณฝันตอนกลางคืน ในฝันนั้นคุณอาจจะกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง กำลังเหาะเหินเดินอากาศ หรือกำลังพูดคุยกับใครสักคน ทุกอย่างมันดู “จริง” มากๆ เลยใช่ไหมล่ะครับ?

แต่พอคุณสะดุ้งตื่นขึ้นมา คุณก็ตระหนักได้ทันทีว่า อ๋อ…ทั้งหมดนั่นมันถูกสร้างขึ้นโดย “จิต” ของคุณเองล้วนๆ เลย ฉาก ผู้คน สถานการณ์ต่างๆ มันผุดขึ้นมาจากข้างในตัวคุณทั้งนั้น

เอาล่ะครับ…ทีนี้ลองยกระดับความคิดนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกขั้น! จะเป็นยังไง…ถ้าสิ่งที่คุณเรียกว่า “ความเป็นจริง” (reality) ในตอนนี้ มันก็คือสิ่งเดียวกันเป๊ะๆ เลยล่ะ เพียงแต่มันเป็น “อีกระดับหนึ่งของการฝัน” เท่านั้นเอง? เป็น “ความฝันของจิตจักรวาล” (The dream of the universal mind) นั่นคือสิ่งที่ศาสตร์เฮอร์เมติกเสนอไว้ครับ และมันไม่ใช่แค่เรื่องเปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์เท่านั้นนะครับ

ทุกวันนี้ แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์ควอนตัมฟิสิกส์ (Quantum Physics) ก็เริ่มจะค้นพบสิ่งที่สะท้อนมุมมองนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะครับ โดยแสดงให้เห็นว่าโลกของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม (subatomic world) นั้นมีพฤติกรรมที่ไม่เสถียร ลื่นไหล และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา…จนกว่ามันจะถูก “สังเกตการณ์” (observed)

โอ้โห! ฟังดูแล้วน่าทึ่ง น่าค้นหา และชวนให้ขนลุกจริงๆ ครับว่าไหม?

หรือถ้าจะให้พูดแบบบ้านๆ เข้าใจง่ายๆ เลยนะ… “จิต” ของเรานี่แหละที่ส่งผลกระทบกับ “สสาร” หรือสิ่งต่างๆ รอบตัวเราโดยตรงเลย!

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตคุณล่ะ? โอ้โห… บอกเลยว่า ทุกอย่าง! เพราะถ้าจักรวาลนี้มันคือ “จิต” (mental) จริงๆ ล่ะก็… ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณคิด คุณเชื่อ และคุณรู้สึก มันสร้างผลกระทบที่โคตรจะจริงกับความเป็นจริงนี้เลยไงล่ะ! ความคิดน่ะ ไม่ใช่แค่สิ่งที่มองไม่เห็นแล้วก็โผล่มาแล้วก็หายไปเฉยๆ นะ แต่มันคือ “แรงสั่นสะเทือน” (vibrations) ที่ทรงพลัง คอยปั้นแต่งประสบการณ์ชีวิตของคุณเลยล่ะ!

ลองนึกภาพตามนะ… สมมติว่าคุณโตมากับการได้ยินซ้ำๆ ว่า “เงินทองหายาก” “ชีวิตมีแต่ความทุกข์” “ไม่มีใครไว้ใจได้หรอก” คำพูดเหล่านี้มันฝังรากลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของคุณ กลายเป็นเหมือนฉากหลังของความคิดคุณไปแล้ว ทีนี้ พอมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต หรือมีช่องทางใหม่ๆ ให้คุณได้เติบโตหรือเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆปุ๊บ!

มันจะมีอะไรบางอย่างข้างในตัวคุณนี่แหละที่ดึงคุณกลับมาตลอดเวลา ทำไมรู้ไหม? ก็เพราะจิตของคุณมันกำลังเล่นสคริปต์ที่มองไม่เห็นบทเดิมๆ ซ้ำๆ ที่มันบอกว่า “เฮ้ย! ก้าวต่อไปมันไม่ปลอดภัยนะเว้ย!”

แล้วด้วยความที่จักรวาลนี้มันตอบสนองต่อสิ่งที่คุณ “สั่นสะเทือน” ออกไปจากข้างใน คุณก็จะเริ่มดึงดูดสถานการณ์ที่เข้ามาตอกย้ำรูปแบบความเชื่อเดิมๆ ของคุณให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก! เรื่องความรักก็เหมือนกันเป๊ะ! ถ้าลึกๆ ข้างในคุณยังมีความเชื่อฝังหัวว่า “เดี๋ยวเขาก็ไป” “ความรักมันอันตราย” “ฉันมันไม่ดีพอ”

ต่อให้คุณอยากจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งดูดดื่มแค่ไหนก็ตาม แรงสั่นสะเทือนทางจิตของคุณมันก็จะไปขัดขวางความปรารถนานั้นอยู่ร่ำไป แล้วชีวิตก็จะมอบประสบการณ์เดิมๆ ซ้ำๆ ให้คุณเจอ… ทั้งการถูกทอดทิ้ง การถูกปฏิเสธ ความผิดหวังวนไปไม่จบไม่สิ้น

แต่! ข่าวดีที่มันโคตรจะปลดปล่อยคุณอยู่ตรงนี้! ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมันคือ “จิต” จริงๆ… นั่นก็แปลว่า คุณสามารถเปลี่ยนความเป็นจริงของคุณได้ ด้วยการเปลี่ยน “จิต” ของคุณเอง! เอ้อ! แล้วนี่ไม่ได้หมายถึงแค่การคิดบวกแบบตื้นๆผิวเผินนะ

แต่มันหมายถึงการ “ตั้งโปรแกรมจิต” ของคุณใหม่อย่างมีสติเลยล่ะ! เปลี่ยนความคิดที่คุณป้อนให้ตัวเอง เปลี่ยนอารมณ์ที่คุณยังคงยึดติดอยู่กับมัน และเปลี่ยนวิธีที่คุณมองเห็นตัวเองในโลกใบนี้

ลองคิดตามผมนะ… ถ้าคุณเปลี่ยนคลื่นวิทยุ เครื่องรับมันก็จะเริ่มจับสัญญาณความถี่ใหม่ได้ใช่ไหม? เพลงก็เปลี่ยน อารมณ์ก็เปลี่ยน พลังงานรอบตัวก็เปลี่ยน… มันเหมือนกันเป๊ะกับเรื่องของจิตใจเลย!

เมื่อไหร่ที่คุณปรับเปลี่ยน “ความถี่” ของความคิดคุณ คุณก็จะเริ่มดึงดูดประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป ผู้คนที่แตกต่าง เส้นทางชีวิตที่แตกต่าง… เพราะความเป็นจริงภายนอก มันคือภาพสะท้อนโดยตรงของสภาวะภายในจิตใจของคุณนั่นเอง! เรื่องนี้มันไม่ได้ลึกลับซับซ้อนหรือไกลตัวเกินไปเลยนะ เอาตัวอย่างง่ายๆ เลย…

ในวันที่คุณตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกฮึกเหิม มีแรงบันดาลใจ เปี่ยมไปด้วยศรัทธา จิตใจสงบสุข… ทุกอย่างมันดูไหลลื่นไปหมดเลยใช่ป่ะ?

ผู้คนก็ดูจะใจดีกับคุณเป็นพิเศษ รถก็ไม่ติดเหมือนเคย หรือแม้แต่กาแฟแก้วเดิมๆ มันก็ยังอร่อยขึ้น! ทีนี้ลองนึกถึงวันที่คุณตื่นมาแบบหงุดหงิด อารมณ์บูด พูดจาตัดพ้อต่อว่า… ทุกอย่างมันเริ่มผิดพลาดไปหมด

นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะเพื่อน! นั่นมันคือ “การสั่นพ้อง” (Resonance)! คุณไม่ใช่เหยื่อของจักรวาล แต่คุณคือ “ผู้ร่วมสร้างสรรค์” (Co-creator) ที่มีสติสัมปชัญญะ อยู่ภายใน “มหาจิต” (Greater Mind) ที่ยิ่งใหญ่กว่า

และยิ่งคุณปรับจูนตัวเองให้สอดคล้องกับ “จิตสำนึก” นั้นมากเท่าไหร่ ชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ ยกระดับความคิด ดูแลสิ่งที่คุณรู้สึกและเชื่อมั่นมากเท่าไหร่… ความเป็นจริงรอบตัวคุณก็จะยิ่งเริ่มสะท้อนสภาวะนั้นกลับมาให้คุณเห็นชัดเจนขึ้นเท่านั้น! ทุกสิ่งคือจิต! (All is Mind – หลักการข้อแรกแห่งไคบาเลี่ยนเลยนะเนี่ย!)

แต่! มีจุดสำคัญที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้เลยนะ… จิตของมนุษย์เราเนี่ย มันคุ้นเคยกับการ “ทำซ้ำ” คิดวนเวียนซ้ำๆ กับความกลัวเดิมๆ เรื่องเล่าเดิมๆ คำตัดสินเดิมๆ ถ้าคุณไม่รู้เท่าทันนะ มันจะดักคุณอยู่ในกับดักนั้นแหละ!

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเหล่าปรมาจารย์ผู้รู้แจ้งทั้งหลายถึงไม่ได้แค่บอกว่า “จงสร้างสรรค์ด้วยจิต” แต่พวกท่านยังบอกด้วยว่า “จงตื่นรู้สู่สัจธรรมที่แท้จริงว่าตัวตนคุณคือใคร!” เพราะลึกลงไปแล้ว… คุณไม่ใช่จิตของคุณนะ

แต่คุณคือ “จิตสำนึก” ที่คอยเฝ้าสังเกตจิตต่างหาก! และการสร้างสรรค์ที่แท้จริงมันจะเริ่มต้นขึ้นก็ต่อเมื่อคุณก้าวข้ามความคิดที่ซ้ำซากจำเจเหล่านั้น แล้วเลือกด้วยความชัดเจนแจ่มแจ้งเลยว่า คุณต้องการจะคิดอะไร คุณต้องการจะรู้สึกอะไร และคุณต้องการจะฉายภาพอะไรออกไปสู่โลกภายนอก

คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่างทั้งหมดในครั้งเดียวหรอกนะ แต่ถ้าแนวคิดนี้มันเดินทางมาหาคุณได้ นั่นก็เพราะว่ามีบางสิ่งบางอย่างในตัวคุณมันพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้น…

แล้วถ้า… ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณประสบพบเจอ มันกำลังถูกนำทางด้วย “กฎ” ต่างๆ ที่มันจริงแท้แน่นอนเหมือนกับกฎแรงโน้มถ่วงเลยล่ะ ถึงแม้ว่าคุณจะมองไม่เห็นมันก็ตาม? แล้วถ้า… มันไม่มีอะไรเลยที่เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ แม้กระทั่งความจริงที่ว่าคุณกำลังอ่านข้อความนี้อยู่ในตอนนี้?

จากวินาทีที่คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า “จักรวาลนี้คือจิต” (The Universe is Mental) การเปิดเผยครั้งยิ่งใหญ่ถัดไปมันจะตามมาเลย… นั่นคือ “จิต” ดวงนี้ที่โอบอุ้มทุกสรรพสิ่งเอาไว้เนี่ย มันทำงานผ่าน “กฎแห่งจักรวาล” (Universal Laws) กฎที่มองไม่เห็น แต่แม่นยำชนิดที่ว่า… โคตรๆๆๆ! ไม่มีอะไรหนีพ้นกฎเหล่านี้ไปได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกเหนือกฎเหล่านี้เลย!

คัมภีร์โบราณ “เดอะ ไคบาเลี่ยน” (The KYBALION) ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนเลยว่า:

“ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตามกฎ เหตุบังเอิญเป็นเพียงชื่อเรียกของกฎที่เรายังไม่รู้จักเท่านั้นเอง” (“Everything happens according to Law; that Chance is but a name for Law not recognized.”)

ขนลุกเลยใช่ไหมล่ะ? นี่แหละคือความลับที่จักรวาลกระซิบเราอยู่ตลอดเวลา!

พอคุณเข้าใจเรื่องนี้ปุ๊บนะ… วิธีที่คุณมอง “ความเป็นจริง” มันจะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย! ชีวิตจะไม่ใช่แค่เรื่องราวสุ่มๆ ที่เกิดขึ้นแบบไม่ปะติดปะต่อกันอีกต่อไป แต่มันจะกลายเป็นเหมือน “การเต้นรำที่ประสานสอดคล้อง” ที่ทุกย่างก้าว ทุกการเคลื่อนไหว ทุกผลลัพธ์ที่ตามมา… ล้วนมีที่มาที่ไป!

ทุกอย่างมันเชื่อมโยงถึงกันหมด! แล้วถ้าคุณลองสังเกตดีๆ นะ คุณจะเห็นเลยว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณน่ะ มันเป็นผลมาจาก “แรงสั่นสะเทือน” บางอย่างที่คุณเองนั่นแหละที่เป็นคนส่งมันออกไป… ถึงแม้ว่าตอนนั้นคุณอาจจะไม่รู้ตัวก็ตาม!

มาดูตัวอย่างที่เห็นภาพชัดๆ กันหน่อยดีกว่า…

ลองนึกภาพคนคนหนึ่งที่เอาแต่บ่นโชคชะตาชีวิตตัวเอง พูดจาไม่ดีถึงคนอื่นตลอดเวลา ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเอง แถมยังคอยป้อนความกลัวให้ตัวเองอยู่เรื่อยๆ รูปแบบความคิดแบบนั้นน่ะ มันกำลัง “สั่นสะเทือน” อยู่ในคลื่นพลังงานของเขาตลอดเวลาเลย เหมือนกับคลื่นวิทยุเลย

แล้วคุณว่าเขาจะดึงดูดอะไรเข้ามาล่ะ? ก็ต้องเป็นสถานการณ์ที่มัน “แมทช์” หรือตรงกับคลื่นความถี่นั้นไง! ทั้งผู้คนแย่ๆ โอกาสดีๆ ที่หลุดลอยไป อาการเจ็บป่วยซ้ำๆซากๆ พลังงานชีวิตที่ตกต่ำ… นี่ไม่ใช่การลงโทษนะ ไม่ใช่ความพิโรธจากฟ้าดินอะไรทั้งนั้น

แต่มันคือ “กฎแห่งเหตุและผล” (Law of Cause and Effect) ที่กำลังทำงานของมันอยู่อย่างตรงไปตรงมา! นี่คือหนึ่งใน “กฎศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดของเฮอร์เมส” (Seven Hermetic Laws) ที่กล่าวขานกันในคัมภีร์ไคบาเลี่ยน และอาจจะเป็นกฎข้อที่สังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดในชีวิตประจำวันเลยก็ว่าได้… คุณหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น! (You reap what you sow) ทุกความคิดเปรียบดั่งเมล็ดพันธุ์ ทุกการกระทำคือแรงสั่นสะเทือนที่ถูกส่งออกไป!

แล้วจักรวาลล่ะ? โอ้โห… จักรวาลนี้ก็เปรียบเหมือน “จิตอันยิ่งใหญ่อัจฉริยะ” (Great Intelligent Mind) ที่จะตอบสนองด้วยการส่งพลังงานแบบเดียวกันกับที่คุณส่งออกไปนั่นแหละกลับคืนมาให้คุณมากขึ้นไปอีก!

ไม่สำคัญเลยนะว่าคุณทำมันโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม กฎนี้มันก็ยังคงทำงานของมันอยู่ดี! ก็เหมือนกับกฎแรงโน้มถ่วงนั่นแหละ มันไม่หยุดทำงานเพียงเพราะใครบางคนไม่เชื่อว่ามันมีจริงซะหน่อย กฎทางจิตวิญญาณเหล่านี้ก็เช่นกัน มันไม่หยุดทำงานเพียงเพราะคนส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อการมีอยู่ของมันหรอกนะ… มันทำงานอยู่ตลอดเวลา!

ผลลัพธ์ก็คือ… ชีวิตปัจจุบันของคุณ ทั้งความสุข ความทุกข์ วัฏจักรต่างๆ และความท้าทายทั้งหลายแหล่ มันคือภาพสะท้อนที่แม่นยำของสิ่งที่คุณได้สร้างหรือก่อกำเนิดเอาไว้ในอดีตนั่นเอง! บางครั้งอาจจะเป็นผลจากชาติภพอื่น

บางครั้งอาจจะมาจากภพภูมิอื่น แต่ยังไงซะ… มันมี “เหตุ” เสมอ! แล้วเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่หลักปรัชญาของเฮอร์เมสเท่านั้นนะ นี่มันคือฟิสิกส์! นี่มันคือแก่นแท้ของจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง!

นี่แหละคือ “กรรม” ในมุมมองของแรงสั่นสะเทือน! (Karma understood vibrationally) การกระทำทางกายภาพ ความคิดที่ละเอียดอ่อน อารมณ์ที่ถูกเก็บกดเอาไว้… ทั้งหมดนั่นแหละ มันปล่อย “ความถี่” (Frequency) ออกมา!

แล้วความถี่นั้นมันไม่ได้หายวับไปในอากาศนะ แต่มันจะ “ย้อนกลับมา” เสมอ! เพราะจักรวาลนี้มันคือสนามพลังงานอัจฉริยะที่บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้! มันเหมือนกับว่าจักรวาลนี้เป็น “กระจกเงาบานยักษ์” เลยล่ะ

แต่ไม่ใช่กระจกธรรมดานะ… มันเป็น “กระจกเงาที่มีชีวิตและสั่นสะเทือนได้” (Living Vibrational Mirror) ที่ไม่ได้แค่สะท้อนภาพลักษณ์ภายนอกของคุณ แต่มันสะท้อน “แก่นแท้ภายใน” ของคุณเลยต่างหาก! มันส่งกลับสิ่งที่คุณรู้สึก คิด และเชื่อจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่คุณพูดออกมาดังๆ หรือเสแสร้งว่าเชื่อ!

นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมคนจำนวนมากถึงรู้สึกหงุดหงิดผิดหวัง เวลาที่พยายามจะ “คิดบวก” เพื่อให้ชีวิตดีขึ้น โดยคิดว่าแค่การท่องวลีสวยๆ ซ้ำๆ มันจะช่วยได้ ถ้าข้างในของคุณมันยังคงสั่นสะเทือนไปด้วยความขาดแคลน ความกลัว ความโกรธ หรือความรู้สึกผิด… นั่นแหละคือสิ่งที่จักรวาลจะยังคงสะท้อนกลับมาให้คุณเจออยู่ร่ำไป!

กฎของเฮอร์เมส (Hermetic Laws) มีอยู่เพื่อให้เราเป็นอิสระนะ ไม่ได้มีไว้เพื่อกักขังเรา! เมื่อคุณตระหนักรู้ได้ว่าคุณกำลังสร้างความเป็นจริงของตัวเองขึ้นมาด้วยทุกๆ การตัดสินใจของคุณ คุณจะเลิกความรู้สึกเหมือนเป็น “เหยื่อ” ของโลกใบนี้ แล้วเริ่มกลายเป็น “ผู้เขียนเรื่องราวชีวิตของตัวเอง” อย่างแท้จริง!

แต่มันต้องใช้ความกล้านะ… เพราะการรับผิดชอบต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวคุณ มันก็หมายถึงการมองลึกลงไปข้างในตัวเอง และยอมรับ “ต้นเหตุ” ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ซึ่งก็คือสิ่งที่คุณเองนั่นแหละที่ได้ก่อมันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้มันกำลังกลับมาในรูปแบบของ “ผลลัพธ์” ต่างๆ

แล้วถ้าคุณรู้สึกเหมือนกำลังติดอยู่ในวังวนซ้ำๆ รูปแบบเดิมๆ ที่มันปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในเรื่องความสัมพันธ์ การเงิน หรือสุขภาพ… นั่นก็เพราะว่า “ต้นเหตุ” มันยังคงถูกป้อนเชื้อไฟจากภายในอยู่ตลอดเวลาไงล่ะ!

การเปลี่ยนแปลงแค่ภายนอกมันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ! การย้ายไปเมืองใหม่ การหาแฟนใหม่ การเปลี่ยนงานใหม่… มันไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลย ถ้า “ความถี่ภายใน” ของคุณมันยังไม่เปลี่ยนแปลง! เพราะจักรวาลนี้ มันจะดำเนินตามกฎเหล่านี้ต่อไป และจะยังคงสะท้อนสิ่งที่คุณแบกเอาไว้ใน “สนามพลังงาน” (Energetic Field) ของคุณออกมาให้เห็นอยู่ดี!

นี่แหละคือทั้งความงดงามและความน่าเกรงขามของความรู้นี้! มันไม่ได้ให้ทางลัดกับคุณ มันไม่ได้ให้ข้ออ้างกับคุณ แต่มันมอบ “แผนที่ฉบับสมบูรณ์” ให้กับคุณเลยต่างหาก! แล้วแผนที่นั้นมันเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ว่า… ไม่มีอะไรเลย… ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ที่เป็นเรื่องบังเอิญ!

ดังนั้น… ครั้งต่อไปที่เรื่องราวอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนจะไร้เหตุผลสิ้นดีมันเกิดขึ้นกับคุณ แทนที่จะถามว่า “ทำไมเรื่องนี้ต้องมาเกิดกับฉันด้วย?” ลองเปลี่ยนคำถามเป็น “อะไรคือ ‘ต้นเหตุ’ ที่ฉันยังมองข้ามไปหรือยังไม่รู้จักมันนะ?”

แค่การตั้งคำถามง่ายๆ แบบนี้ มันก็คือการก้าวกระโดดทางจิตสำนึกแล้วนะ! เพราะคุณเริ่มที่จะเคลื่อนตัวเองออกจาก “ความถี่ของความสิ้นหวัง” ไปสู่ “แรงสั่นสะเทือนของการสังเกตอย่างมีสติ” (Conscious Observation) และนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง!

แล้วทีนี้… บางทีคุณอาจจะเริ่มเข้าใจแล้วก็ได้ว่าทำไมบางช่วงเวลาคุณถึงรู้สึกโคตรจะไม่มั่นคงเลย ทำไมมันถึงมีบางช่วงที่ทุกอย่างมันดูไหลลื่นไปหมด คุณรู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลังงาน หัวสมองปลอดโปร่ง มีแรงบันดาลใจ… แล้วจู่ๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยคุณก็ดิ่งลงไปสู่ช่วงเวลาที่ทุกอย่างมันดูติดขัดไปซะหมด

ความสงสัยเริ่มคืบคลานเข้ามา ความเหนื่อยล้าก็กลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกเก่าๆ ก็ผุดขึ้นมาใหม่… คนส่วนใหญ่จะคิดว่านี่หมายความว่าพวกเขากำลังล้มเหลว พวกเขากำลังกลับไปสู่จุดเริ่มต้น… แต่นั่นมันโคตรจะไม่จริงเลย!

ในปรัชญาของเฮอร์เมส สิ่งนี้มีชื่อเรียกของมันครับ… มันคือ “กฎแห่งจังหวะ” (The Law of Rhythm)! กฎข้อนี้กล่าวไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในการดำรงอยู่ มันเคลื่อนไหวเหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกา! เฉกเช่นเดียวกับที่ลูกตุ้มมันแกว่งจากสุดขั้วหนึ่งไปยังอีกสุดขั้วหนึ่ง

ชีวิตของเรามันก็มีการเต้นเป็นจังหวะระหว่างสิ่งที่ตรงกันข้ามเช่นกัน… แสงสว่างและความมืด การขยายตัวและการถดถอย ความก้าวหน้าและการหยุดพัก ความมั่นใจและความกลัว…

มันคือ “กระแสการไหลที่เป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง” (natural flow of existence) เลยนะ! แล้วมันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะหลีกเลี่ยงได้ด้วยนะ แต่มันเป็นสิ่งที่คุณควรจะทำความเข้าใจมันต่างหาก! ลองมองไปที่ธรรมชาติดูสิ… พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก

ฤดูกาลก็หมุนเวียนเปลี่ยนไป หัวใจก็เต้นเป็นจังหวะ มหาสมุทรก็มีน้ำขึ้นน้ำลง ชีวิตมันถูกจัดระเบียบเป็น “วัฏจักร” (cycles) ทั้งนั้นแหละ! และคุณเอง ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ “ทั้งหมด” (The All) ก็อยู่ภายใต้การเคลื่อนไหวนี้เช่นกัน

ปัญหาคืออะไรน่ะเหรอ? ก็คือเราถูกสอนให้มองว่าชีวิตมันเป็น “เส้นตรง” (straight line) น่ะสิ! ราวกับว่าความก้าวหน้าที่แท้จริงมันหมายถึงการต้องพุ่งขึ้นไปข้างหน้าตลอดเวลา ต้องเติบโตตลอดเวลา ต้องดีขึ้นตลอดเวลา… แต่นั่นมันเป็นแค่ “มายาคติยุคใหม่” (modern myth) ที่ถูกสร้างขึ้นโดยระบบที่เชิดชูแต่การผลิตที่ไม่หยุดหย่อนและวิวัฒนาการที่ไม่เคยพักผ่อน!

ในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรหรอกนะที่จะเติบโตขึ้นไปได้ตลอดกาลโดยที่ไม่เคยมีการย่อตัวลงมาบ้างเลย ไม่มีหรอก! แม้แต่ต้นไม้ที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ไม่สามารถค้ำจุนกิ่งก้านสาขาของมันได้หรอกนะ ถ้าหากรากของมันไม่ได้หยั่งลึกลงไปในผืนดินอันมืดมิดอย่างมั่นคงเสียก่อน

“กฎแห่งจังหวะ” (The Law of Rhythm) ที่คัมภีร์ไคบาเลี่ยนสอนเราก็คือ… การสะดุดหรือถอยหลังชั่วคราวน่ะ มันไม่ใช่ความล้มเหลว! แต่มันคือ “การปรับสมดุล” (adjustments) มันคือการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความสมดุลต่างหาก!

ก็เหมือนกับตลาดหุ้นนั่นแหละ ที่มันต้องมีการ “ปรับฐาน” (corrections) บ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการพังครืนลงมายังไงล่ะ จิตวิญญาณของเรามันก็ต้องการการหยุดพัก การทบทวน และการถอยกลับมาตั้งหลักบ้างเหมือนกัน เพื่อที่จะรักษา “ระดับการตื่นรู้” (level of awareness) ใหม่เอาไว้ให้ได้อย่างยั่งยืน

นักปราชญ์อย่างเพลโตเคยกล่าวไว้ว่า “จิตวิญญาณวิวัฒน์เป็นเกลียวคลื่น” (the soul evolves in a spiral) มันหมายความว่ายังไงน่ะเหรอ? ก็หมายความว่า… แม้ในตอนที่มันดูเหมือนว่าเรากำลังเผชิญกับปัญหาเก่าๆ เดิมๆ อีกครั้ง

แต่จริงๆ แล้วเรากำลังกลับไปเยือนจุดนั้นอีกครั้งใน “มุมมองที่แตกต่างออกไป” ต่างหาก! มันเหมือนกับการเดินขึ้นบันไดเวียนนั่นแหละ คุณมองลงไปข้างล่าง คุณอาจจะเห็นจุดเดิมกับที่เคยผ่านมา… แต่จริงๆ แล้วคุณกำลังยืนอยู่ในระดับที่สูงขึ้นไปอีกขั้นแล้วนะ!

ลองนึกถึงบาดแผลทางอารมณ์ที่คุณคิดว่าคุณเยียวยามันหายดีแล้วสิ… บางทีอาจจะเป็นความกลัวเก่าๆ ความไม่มั่นใจเดิมๆ หรือความทรงจำที่เจ็บปวด… ทันใดนั้น! ทุกอย่างมันกลับมาอีกครั้ง! แล้วคุณก็สงสัยว่า “เฮ้ย! ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้อีกแล้ววะเนี่ย?” ฉันนึกว่าฉันก้าวข้ามมันไปได้แล้วซะอีก…

จิตใจแบบเดิมๆ มันจะมองว่านี่คือความล้มเหลว แต่ “จิตสำนึกที่ตื่นรู้” (awakened consciousness) มันจะรู้ทันทีว่า “ลูกตุ้มมันกำลังแกว่งกลับมา” ไม่ใช่เพื่อจะซัดคุณให้ล้มนะ… แต่เพื่อที่จะฉายแสงส่องไปยังจุดนั้นให้มันลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่างหาก! มันคือโอกาสที่คุณจะได้เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้นอีกครั้ง ด้วยสายตาของคนที่เติบโตขึ้นแล้ว!

เรื่องนี้มันยังอธิบายได้ด้วยนะว่าทำไมคนจำนวนมากถึงชอบ “ขัดขวางตัวเอง” (self-sabotage) ก่อนที่จะก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในชีวิต

บางครั้งนะพอทุกอย่างมันกำลังจะไปได้สวยเลยเชียว… วิกฤตมันก็ดันเกิดขึ้น! ความสงสัยมันก็ผุดขึ้นมา! หรือมีเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้น! นั่นแหละ… “จังหวะภายใน” (internal rhythm) ของคุณมันกำลังปรับเปลี่ยน มันกำลังทดสอบคุณอยู่ว่า คุณได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับ “ศูนย์กลาง” (centered) ของตัวเองได้หรือยัง แม้ในยามที่กระแสคลื่นมันเปลี่ยนแปลงไป

เอางี้! ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นภาพชัดๆ เลยนะ… ลองนึกภาพคนคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในกระบวนการเยียวยาจิตใจตัวเอง เขาทั้งเริ่มนั่งสมาธิ ฝึกขอบคุณสิ่งต่างๆ ดูแลตัวเองอย่างดี ในช่วงแรกๆนะ ทุกอย่างมันดูไหลลื่นไปหมดเลย แต่พอผ่านไปสักพัก… ความรู้สึกเหงาแบบเดิมๆ มันกลับมาอีกครั้ง!

ความอยากจะล้มเลิกทุกอย่างมันเริ่มก่อตัวขึ้น! พวกเขาจะคิดว่า “ที่ทำมาทั้งหมดมันสูญเปล่า!” แต่ความจริงก็คือ… นี่มันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการต่างหาก! จังหวะของจิตวิญญาณมันกำลังเรียกร้องหาความลึกซึ้งที่มากกว่านั้น! สิ่งที่มันถูกซุกซ่อนเอาไว้ มันจำเป็นต้องได้รับการต้อนรับ ได้รับการมองเห็น และได้รับการแปรเปลี่ยน!

ถ้าคุณยิ่งต่อต้านการแกว่งไปมานี้ คุณก็จะยิ่งทุกข์ทรมานมากขึ้นนะ มันเหมือนกับการ “พายเรือทวนน้ำ” (rowing against the current) นั่นแหละ! ยิ่งฝืนก็ยิ่งเหนื่อย! แต่ถ้าคุณยอมรับการเคลื่อนไหวนั้น… ยอมจำนนต่อมันด้วยสติที่รู้เท่าทัน และเฝ้าสังเกตสิ่งที่มันกำลังพยายามจะแสดงให้คุณเห็น… เมื่อนั้นแหละ แม้แต่ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด มันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการขยายตัวของคุณ!

แก่นแท้ของจิตวิญญาณที่แท้จริง (True spirituality) ไม่ใช่การที่จะต้องรู้สึกดีอยู่ตลอดเวลานะครับ… แต่มันคือการ “รู้วิธีที่จะโต้คลื่นชีวิตทั้งขาขึ้นและขาลงอย่างมีสติ โดยไม่สูญเสียความเป็นศูนย์กลางของตัวเอง” ต่างหาก!

มันคือการตระหนักรู้ว่า… คุณล้มได้ แต่คุณก็ยังคงตื่นรู้ต่อไปได้! เพราะทุกครั้งที่คุณรู้สึกเหมือนกำลังดิ่งลง จริงๆ แล้วมันคือแรงผลักดันให้คุณทะยานขึ้นไปสู่การตื่นรู้ที่เข้มข้นและมีสติมากยิ่งขึ้นต่างหาก! ในความเงียบสงัดของการหดตัวนั่นแหละ… ที่คุณกำลังสร้างพื้นที่สำหรับการขยายตัวครั้งต่อไป!

นี่ไม่ใช่การมองความเจ็บปวดให้มันสวยหรูดูดี หรือไปโรแมนติไซส์มันนะ แต่มันคือ การให้ความหมายกับมัน คือการทำความเข้าใจว่าแม้แต่ “ความทุกข์” มันก็มีบทบาทในเชิงวิวัฒนาการเหมือนกัน! มันเผยให้คุณเห็นว่าตรงไหนที่ยังมีความแข็งกระด้าง ตรงไหนที่ยังมีการต่อต้าน ตรงไหนที่ยังมีบาดแผลซ่อนเร้นที่คุณมองไม่เห็น

มันแสดงให้คุณเห็นถึง “ขีดจำกัด” ของสติรู้ในปัจจุบันของคุณ เพื่อที่คุณจะได้ก้าวข้ามมันไปได้! นั่นแหละคือความงดงามของ “กฎแห่งจังหวะ” (The Law of Rhythm) มันย้ำเตือนเราว่าชีวิตไม่ใช่เส้นตรงแห่งความก้าวหน้า แต่มันคือ “การเต้นรำ” และในการเต้นรำนั้น แม้แต่จังหวะที่ต้องถอยหลัง มันก็เป็นส่วนหนึ่งของท่าเต้นที่งดงาม!

มาถึงตอนนี้… บางทีคุณอาจจะเริ่มตระหนักถึงบางสิ่งที่มันโคตรจะพื้นฐานแล้วก็ได้นะ… ว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวคุณ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวคุณเอง มันดำเนินตาม “กระแสการไหล” (flow) ที่มองไม่เห็น แต่สม่ำเสมออยู่ตลอดเวลา!

และแล้ว… เราก็เดินทางมาถึงสองหลักการที่ทรงอานุภาพในการเปลี่ยนแปลงชีวิตมากที่สุดอีกสองข้อจากปรัชญาเฮอร์เมส นั่นคือ “กฎแห่งขั้วตรงข้าม” (Principle of Polarity) และ “กฎแห่งแรงสั่นสะเทือน” (Principle of Vibration)! การทำความเข้าใจสองหลักการนี้นะ ไม่ใช่แค่การเรียนรู้ทฤษฎีทางจิตวิญญาณเฉยๆ แต่มันคือการเรียนรู้ “วิธีที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณจากภายใน” เลยล่ะ!

เรามาเริ่มกันที่ “กฎแห่งขั้วตรงข้าม” (Polarity) กันก่อนเลย! ในจักรวาลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมี “สองขั้ว” เสมอ! นี่คือกฎเลยนะ! หนาวกับร้อน แสงสว่างกับความมืด ความรักกับความกลัว ความสุขกับความเศร้า…

สิ่งเหล่านี้มันดูเหมือนจะตรงกันข้ามกันสุดๆ ใช่ไหม? แต่จริงๆ แล้วมันเป็นส่วนหนึ่งของ “มาตรวัดแรงสั่นสะเทือน” (vibrational scale) เดียวกัน! สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ “ระดับ” หรือ “ความเข้มข้น” ของมันต่างหาก

ยกตัวอย่างเช่น “ความหนาว” กับ “ความร้อน” เนี่ย มันคือการแสดงออกที่แตกต่างกันของสิ่งเดียวกัน นั่นคือ “อุณหภูมิ” ไงล่ะ! แล้วตรงไหนล่ะที่ความหนาวมันสิ้นสุดลง แล้วความร้อนมันเริ่มต้นขึ้น? มันไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนเป๊ะๆหรอกนะ

มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปอย่างนุ่มนวล… เรื่องของอารมณ์ ความคิด และสภาวะของจิตสำนึกก็เหมือนกันเป๊ะ! “ความกลัว” กับ “ความรัก” มันก็คือสองขั้วสุดโต่งของพลังงานทางอารมณ์เดียวกัน หลายครั้งเลยนะ ที่ความโกรธที่เราเป็น แท้จริงแล้วมันมีรากฐานมาจากความกลัวที่อยู่ลึกๆ ความเศร้าบางทีมันก็คือความรักที่ไม่เคยถูกทำความเข้าใจ

และนี่คือความลับสุดยอดของการ “แปรเปลี่ยนจากภายใน” (inner transmutation)! คุณไม่จำเป็นต้องไปทำลายสภาวะหนึ่งเพื่อที่จะไปให้ถึงอีกสภาวะหนึ่งเลยนะ คุณแค่ต้อง “เปลี่ยนตำแหน่ง” ของคุณภายในมาตรวัดเดียวกันนั้น!

นี่แหละคือ “การเล่นแร่แปรธาตุทางอารมณ์” (Emotional Alchemy)! มันคือสิ่งที่เหล่าปรมาจารย์ผู้รู้แจ้งในสมัยโบราณเขาฝึกฝนกันอยู่ภายใน ลับตาผู้คน พวกท่านรู้ดีว่าคุณไม่สามารถลบอารมณ์หรือกำจัดความคิดได้ด้วยการใช้กำลังบังคับ แตคุณสามารถ “แปรเปลี่ยน” (transform) มันได้! ยกระดับความถี่ของมัน! เปลี่ยนสิ่งที่มันหนาหนักให้กลายเป็นสภาวะที่ละเอียดอ่อนและเบาบางยิ่งขึ้น!

ทีนี้… มาคุยกันถึงเรื่อง “กฎแห่งแรงสั่นสะเทือน” (Vibration) กันบ้าง! ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้มัน “สั่นสะเทือน” อยู่ตลอดเวลา! ตั้งแต่อะตอมในร่างกายของคุณ ไปจนถึงดาวเคราะห์ในวงโคจร ทุกอย่างมันกำลังเคลื่อนไหว! ไม่มีอะไรที่อยู่นิ่งอย่างแท้จริง! และความแตกต่างระหว่างสิ่งที่มองเห็นกับสิ่งที่มองไม่เห็น ระหว่างสสารกับจิตวิญญาณ มันก็อยู่ที่ “ความเร็ว” ของการสั่นสะเทือนนั้นนั่นเอง!

ลองนึกภาพตามนี้นะ… ก้อนหิน มันสั่นสะเทือนช้าๆ มันเลยหนาแน่น หนักอึ้ง… เสียง มันสั่นสะเทือนเร็วกว่า… แสงสว่าง สั่นสะเทือนเร็วยิ่งขึ้นไปอีก! และความคิดล่ะ? โอ้โห… เร็วกว่านั้นอีก! จิตสำนึกล่ะ? เร็วที่สุดในบรรดาทั้งหมด! และยิ่งการสั่นสะเทือนมันสูงเท่าไหร่ ความเป็นจริงที่มันแสดงออกมาก็จะยิ่งละเอียดอ่อนและทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น!

แล้วทั้งหมดนี้มันหมายความว่ายังไงในทางปฏิบัติล่ะ? มันหมายความว่า… ตัวคุณในตอนนี้ คือผลลัพธ์โดยตรงของ “คลื่นความถี่” ที่คุณกำลังสั่นสะเทือนอยู่ในขณะนี้เลย! ถ้าการสั่นสะเทือนของคุณมันต่ำ เต็มไปด้วยความคิดลบๆ ความรู้สึกผิด ความกลัว ความโกรธ…

ความเป็นจริงภายนอกของคุณมันก็จะสะท้อนสิ่งนั้นออกมา ทุกอย่างมันจะรู้สึกยากขึ้น หนักขึ้น เส้นทางต่างๆ ก็ดูเหมือนจะตีบตัน ความสัมพันธ์ก็กลายเป็นพิษ โอกาสดีๆ ก็ดูเหมือนจะเลือนหายไป…

แต่! ถ้าคุณยกระดับการสั่นสะเทือนของคุณขึ้น ด้วยการอยู่กับปัจจุบันขณะ ด้วยความรู้สึกขอบคุณ ด้วยความรัก ด้วยความชัดเจน ด้วยความจริงจากภายใน… โลกรอบตัวคุณมันจะเริ่มตอบสนองแตกต่างออกไปเลยนะ! มันเหมือนกับการเปลี่ยนสถานีวิทยุไง! พอคลื่นความถี่มันเปลี่ยน สิ่งที่คุณรับเข้ามามันก็เปลี่ยนตามไปด้วย!

ดังนั้น… การ “แปรเปลี่ยน” (transmute) จึงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงว่าคุณเป็นใคร แต่เป็นการ “ปรับเปลี่ยนสภาวะการสั่นสะเทือน” (shifting the vibrational state) ที่คุณกำลังทำงานอยู่ต่างหาก! มันเหมือนกับการเพิ่มอุณหภูมิให้หัวใจมันอุ่นขึ้น! มันคือการเคลื่อนตัวออกจากความกลัวไปสู่ความรัก! มันคือการเคลื่อนตัวออกจากความสงสัยไปสู่ความไว้วางใจ!

และนี่คือกุญแจสำคัญเลยนะ… การเปลี่ยนแปลงนั้นน่ะ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความพยายามภายนอกนะ แต่มันเกิดขึ้นผ่าน “การตระหนักรู้” (awareness) ผ่านการเลือกเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน…

ความเงียบสงบภายในที่คุณเลือกที่จะรักษามันไว้… ความคิดลบๆ ที่คุณตัดสินใจที่จะแค่เฝ้าสังเกตมันแทนที่จะไปป้อนเชื้อไฟให้มัน… การให้อภัยที่คุณมอบให้ ไม่ใช่เพราะคนอื่นสมควรได้รับมันนะ… แต่เพราะ “คุณ” ต่างหากที่สมควรได้รับความสงบสุข!

เอาล่ะทุกคน! วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุที่แท้จริง ที่สุดแล้วมันไม่ได้อยู่ในห้องแล็บเก่าๆ พร้อมขวดแก้วหรือสูตรอะไรเทือกนั้นหรอกนะ แต่มันอยู่ในร่างกาย ในจิตใจ และในหัวใจของคุณต่างหากล่ะ มันคือตัวคุณเองนั่นแหละ ที่ใช้ตัวตนของคุณเองนี่แหละ เปลี่ยนเงามืดให้เป็นแสงสว่าง เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้าหาญ เปลี่ยนความโกรธให้เป็นความเมตตาปรานี

แล้วทั้งหมดเนี้ย มันเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ ก้าวเดียวเท่านั้นเอง นั่นคือการตระหนักรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้ติดแหง็กอยู่กับความเป็นขั้วตรงข้ามหรอกนะ คุณน่ะคือจุดแห่งสติรู้ ที่สามารถเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างขั้วสุดโต่งเหล่านั้นได้

คุณคือ “นักเล่นแร่แปรธาตุ” ในตัวคุณเอง! ถ้าคุณเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทุกสรรพสิ่งล้วนสั่นสะเทือน (เหมือนที่หลักปรัชญาโบราณใน “คัมภีร์ไคบาเลียน” กล่าวไว้ว่า “ไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่ง ทุกสิ่งเคลื่อนไหว ทุกสิ่งสั่นสะเทือน” – The Principle of Vibration)

ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้ ทุกอย่างมันแปรเปลี่ยนได้เสมอ ทีนี้ล่ะ คุณอาจจะเริ่มมองเห็นแล้วว่า แม้แต่แนวคิดเรื่อง “เป้าหมายชีวิต” มันก็ไม่ได้ตายตัวเหมือนกัน

เพราะถ้าจักรวาลนี้มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตสำนึกของคุณเองก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แล้วเส้นทางของคุณล่ะ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยสิถูกไหม? แต่คนจำนวนมากเลยนะยังติดอยู่กับความคิดที่ว่าเป้าหมายชีวิตมันมีแค่หนึ่งเดียว เหมือนเป็นภารกิจที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ที่คุณต้องรีบค้นหามันให้เจอโดยเร็วที่สุด ไม่งั้นคุณจะล้มเหลว…

โอ้โห ความคิดแบบนี้แหละที่เป็นหนึ่งในตัวบล็อกทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเราเลยนะ เพราะมันทำให้คุณเป็นอัมพาตไปเลย มันทำให้คุณรู้สึกว่าถ้ายังหา “เป้าหมายอันยิ่งใหญ่” นั่นไม่เจอ แสดงว่าคุณกำลังล้าหลัง คุณมันผิดพลาด คุณหลงทาง… แต่เชื่อมั้ย นั่นมันไม่จริงเลยสักนิด!

เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตน่ะ มันคือ “การเคลื่อนไหว” ต่างหาก มันคือ “การไหล” มันคือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในทุกย่างก้าวที่คุณเดิน ลองจินตนาการภาพตามนะ… การเดินทางของคุณมันก็เหมือนกับการเดินอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยลูกแก้วเรืองแสงเล็กๆ กระจายอยู่ตลอดทาง

ลูกแก้วแต่ละลูกน่ะ มันแทนความปรารถนา ความฝัน หรือเป้าหมายที่เคยขับเคลื่อนคุณ ณ จุดใดจุดหนึ่งของชีวิต ตอนเป็นเด็ก บางทีมันอาจจะเป็นความฝันที่อยากจะเป็นนักบินอวกาศ หรือนักบัลเลต์ หรือศิลปิน

พอเข้าช่วงวัยรุ่น มันอาจจะเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ การอยากมีอิสระ การตามหารักแท้… แล้วคุณก็ไล่ตามสิ่งเหล่านั้น คุณทุ่มเทสุดตัว คุณเปลี่ยนแปลงนิสัย คุณเผชิญหน้ากับความกลัว จนกระทั่งคุณคว้ามันมาได้สำเร็จ

แล้วพอคุณทำได้แล้ว คุณก็ตระหนักได้ว่า เฮ้ย! มันไม่ใช่จุดสิ้นสุดนี่นา มันเป็นแค่ลูกแก้วอีกอันหนึ่งเฉยๆ แล้วจากนั้น ลูกใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาอีก เป็นเสียงเรียกใหม่ เป็นความปรารถนาใหม่ ที่ดึงดูดคุณให้มุ่งหน้าไปยังอีกช่วงหนึ่งของเส้นทาง… แล้วมันก็เป็นแบบนี้มาตลอดกับพวกเราทุกคนแหละ ทุกเป้าหมายที่คุณเคยมี มันก็เหมือนกับประกายไฟที่ทำให้คุณเริ่มเคลื่อนไหว และมันคือการเคลื่อนไหวนี่แหละ ที่ขับเคลื่อนวิวัฒนาการของเรา

สิ่งที่เราเรียกว่า “เป้าหมาย” น่ะ จริงๆ แล้วมันคือการรวมกันของการเคลื่อนไหวเหล่านั้น ช่วงชีวิตเหล่านั้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ที่เราได้ผ่านพ้นมา ในขณะที่เรากำลังไล่ตามบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า แม้ว่าเราจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมันคืออะไรก็ตาม…

ปัญหามันอยู่ที่เมื่อคุณคิดว่าคุณต้องทำให้มันถูกต้องเป๊ะตั้งแต่ครั้งแรก เมื่อคุณเชื่อว่ามันมีเส้นทางที่ถูกต้องเพียงเส้นทางเดียว เมื่อคุณเริ่มตัดสินเป้าหมายในอดีตของคุณว่ามันเสียเวลาเปล่า

แต่… ไม่มีแรงปรารถนาที่แท้จริงใดที่ไร้ประโยชน์นะ ไม่มีการไล่ตามอย่างจริงใจใดที่สูญเปล่า! ต่อให้มันไม่ได้พาคุณไปยังที่ที่คุณจินตนาการไว้ แต่มันจะพาคุณไปยังที่ที่คุณ “จำเป็นต้องไป” ต่างหากล่ะ การเติบโตทางจิตวิญญาณน่ะมันไม่ใช่เส้นตรงแต่มันเป็นเกลียวคลื่น

คุณจะกลับมาทบทวนธีมเดิมๆ รูปแบบเดิมๆ หรือแม้แต่ความฝันเก่าๆ อยู่เสมอ แต่ทุกครั้งมันจะอยู่ในระดับของความตระหนักรู้ที่แตกต่างออกไป และนั่นมันสวยงามมากเลยนะ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังเคลื่อนไหว คุณไม่ได้ติดอยู่กับที่ คุณกำลังค้นพบตัวเอง!

เฮอร์มีส ทริสเมกิสทัส (Hermes Trismegistus) บิดาแห่งปรัชญาเฮอร์เมติก และเป็นผู้ที่เชื่อกันว่าคือผู้แต่ง “คัมภีร์ไคบาเลียน” อันลึกลับ ได้กล่าวไว้ว่า “เส้นทางจะเผยตัวตนของผู้แสวงหา” (The path reveals the seeker)

นั่นหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใครเพื่อที่จะเริ่มต้น คุณจะค้นพบว่าตัวเองเป็นใคร…ในขณะที่คุณกำลังเดิน และในขณะที่คุณเดิน คุณก็เปลี่ยนแปลง และเมื่อคุณเปลี่ยนแปลง ความฝันของคุณก็เปลี่ยน ลูกแก้วของคุณก็เปลี่ยน และนั่นมันโอเคมากๆ เลยนะ มันไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลยในเรื่องนั้น มันมีแต่การเติบโต

ลองนึกดูสิว่ามีกี่ครั้งแล้วที่คุณเคยต้องการอะไรบางอย่างสุดหัวใจ แล้วต่อมาก็มารู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไปแล้ว? นั่นมันไม่ใช่ความไม่สอดคล้องกันนะ แต่มันเป็นสัญญาณว่าจิตวิญญาณของคุณกำลังอัปเดตชุดรหัสภายในต่างหากล่ะ!

สิ่งที่คุณต้องการในวันนี้ มันคือส่วนขยายของตัวตนที่คุณเป็นในวันนี้ และตัวตนที่คุณเป็นในวันนี้ มันยิ่งใหญ่กว่าตัวตนที่คุณเคยเป็นเมื่อวานตั้งเยอะ ดังนั้น อย่ากลัวที่จะทิ้งลูกแก้วบางลูกไว้ข้างหลัง อย่ารู้สึกผิดกับการเปลี่ยนเส้นทางของคุณเลยนะ! จงจำไว้ว่า “ทุกสิ่งไหลเวียน เข้าและออก ทุกสิ่งมีจังหวะของมัน” (The Principle of Rhythm จากไคบาเลียน) การเปลี่ยนแปลงคือส่วนหนึ่งของจังหวะนั้น จงโอบรับมัน!

อย่าได้คิดเป็นอันขาดว่าคุณเสียเวลาไปเปล่าๆ นะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณได้ใช้ชีวิตผ่านมาจนถึงตอนนี้ มันคือการเตรียมตัวทั้งนั้นแหละ มันเหมือนกับเส้นทางที่ค่อยๆ เผยตัวออกมาทีละนิดเมื่อคุณก้าวเดินไปข้างหน้ายังไงยังงั้นเลย

แต่ละก้าวที่คุณเดินมันจะส่องแสงนำทางไปยังก้าวต่อไป… แล้วถ้าคุณหยุดเดินเพราะกลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาดไปล่ะก็ เส้นทางนั้นมันจะหายวับไปเลยนะ เพราะมันจะเผยตัวให้เห็นเฉพาะกับคนที่กล้าจะเดินต่อไปเท่านั้น!

ถ้าตอนนี้คุณรู้สึกเหมือนกำลังไร้ทิศทาง ไม่มีเป้าหมาย ไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่… บางทีนะ นั่นอาจจะเป็นแค่ “ช่องว่าง” ระหว่างลูกแก้วสองลูกก็ได้ เป็นช่วงเวลาศักดิ์สิทธิ์แห่งความเงียบสงบที่ความปรารถนาครั้งใหม่ของคุณกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ อยู่ข้างในตัวคุณนั่นแหละ

จงให้เกียรติความเงียบนั้นมันจำเป็น มันคือพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ ที่ซึ่งสิ่งใหม่ๆ เริ่มต้น “สั่นสะเทือน” (Vibrate) ขึ้นมายังไงล่ะ (นี่มันสอดคล้องกับหลักการแห่งการสั่นสะเทือนในไคบาเลียนเลยนะ ที่ว่าทุกอย่างกำลังเคลื่อนไหวและสั่นสะเทือนอยู่เสมอ!)

ภารกิจของคุณน่ะ ไม่ใช่การตามหาลูกแก้วที่สมบูรณ์แบบที่สุดหรอกนะ แต่มันคือการ “แสวงหาต่อไป” ด้วยความตระหนักรู้ ด้วยความสัตย์จริง ด้วยการมี “ตัวตน” อยู่ในปัจจุบันขณะ และยิ่งคุณปรับจูนตัวเองให้สอดคล้องกับตัวตนที่แท้จริงของคุณมากเท่าไหร่ (ไม่ใช่ตัวตนที่โลกคาดหวังให้คุณเป็นนะ) ลูกแก้วที่ “ใช่” มันก็จะยิ่งปรากฏออกมาให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น เส้นทางมันก็จะยิ่งเปิดออก และเหตุผลที่คุณมาอยู่ตรงนี้มันก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เอง

ไม่ต้องไปรอการเปิดเผยครั้งสุดท้ายอะไรเทือกนั้นหรอกนะ เหมือนกับรอป้ายที่เขียนว่า “นี่แหละคือเป้าหมายของเจ้า!” จักรวาลไม่ได้ทำงานแบบนั้นหรอกน่า… จักรวาลจะกระซิบ จะสะกิด จะเชื้อเชิญ และทุกครั้งที่คุณตอบ “ตกลง” กับเสียงเรียกที่แท้จริงจากข้างใน (แม้ว่าคุณจะไม่รู้เลยว่ามันจะนำพาไปที่ไหนก็ตาม) จักรวาลก็จะตอบสนองด้วยแสงสว่างที่มากขึ้น การแสวงหาด้วยตัวมันเองนั่นแหละคือการตื่นรู้!

และเมื่อคุณเริ่มตระหนักถึง “กระแสอันชาญฉลาด” (intelligent flow) นี้ ที่คอยนำทางการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างในชีวิตของคุณ คุณจะตระหนักถึงบางสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นอีก… นั่นคือ กฎเกณฑ์เหล่านี้ (หมายถึงกฎแห่งจักรวาล หรือหลักปรัชญาเฮอร์เมติกทั้ง 7 จากคัมภีร์ไคบาเลียนนั่นแหละ)

มันไม่ได้ทำงานแบบแยกส่วนกันนะ ถึงแม้ว่าเราจะศึกษามันทีละข้อๆ แต่มันไม่ได้แยกออกจากกัน มันไม่ได้กระจัดกระจายเหมือนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่รอให้เรามาประกอบเข้าด้วยกัน แต่มันเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว สานสอดกันเป็นหนึ่งเดียว เกาะเกี่ยวกันอย่างสมบูรณ์

มันเหมือนกับเส้นด้ายเจ็ดเส้นที่ถักทอเข้าด้วยกันจนกลายเป็นผืนผ้าผืนเดียว เป็น “ซอร์สโค้ด” (source code) ของจักรวาลเลยทีเดียว!

ในทางปฏิบัติน่ะ นั่นหมายความว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ มันกำลังถูกขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กันด้วยกฎเหล่านี้ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน! ต่อให้คุณไม่ทันสังเกต ต่อให้คุณไม่เคยได้ยินเรื่องปรัชญาเฮอร์เมติกมาก่อนเลยก็ตาม การเคลื่อนไหวของจิตใจคุณ การคลี่คลายของประสบการณ์ต่างๆ อารมณ์ที่คุณรู้สึก ความท้าทายที่เกิดขึ้น โอกาสที่ปรากฏ ทั้งหมดนั้นน่ะ มันกำลังถูกถักทอขึ้นโดย “ปัญญาอันเร้นลับ” (invisible intelligence) ที่ทำงานผ่านพลังทั้งเจ็ดนี้

ลองนึกภาพเครื่องดนตรีอย่างกีตาร์ดูสิ สายกีตาร์แต่ละเส้นมันแตกต่างกันใช่ไหมล่ะ มันมีความหนาและเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่มันคือทั้งชุดของสายนั่นแหละที่สร้างสรรค์ดนตรีขึ้นมาได้ โน้ตตัวเดียวโดดๆ มันบอกอะไรได้ไม่มากหรอก

แต่เมื่อสายทุกเส้นถูกตั้งเสียงอย่างถูกต้องและถูกดีดอย่างมีสติแล้วล่ะก็ ท่วงทำนองอันไพเราะมันก็จะบังเกิดขึ้นมา… กฎแห่งเฮอร์เมติกก็ทำงานแบบนั้นแหละ แต่ละข้อจะเปิดเผยแง่มุมหนึ่งของความเป็นจริง แต่ใน “การรวมกัน” ของทั้งหมดต่างหาก ที่ความจริงอันสูงสุดจะถูกเปิดเผยออกมา!

  • กฎแห่งความเป็นจิต (The Law of Mentalism หรือ หลักการที่ว่าด้วยจิต): นี่คือโครงสร้างพื้นฐานเลย มันคือความเข้าใจที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นใน “จิต” (Mind) ทุกสรรพสิ่ง ทั้งจักรวาลนี้เลยนะ คือ “ความคิดที่มีชีวิต” (a living thought) ความเป็นจริงของคุณถูกหล่อหลอมขึ้นจากคุณภาพของความคิดที่คุณบ่มเพาะเลี้ยงดู คุณก็เหมือนกับโปรแกรมเมอร์ที่กำลังทำงานกับภาษาที่มองไม่เห็น ความคิดของคุณคือ “โค้ด” และโลกก็จะตอบสนองต่อโค้ดนั้นโดยไม่ตั้งคำถามเลยว่าคุณรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม… คิดดูสิว่ามันทรงพลังขนาดไหน! นี่คือหลักการแรกสุดและสำคัญที่สุดในไคบาเลียน ที่ว่า “THE ALL is MIND; The Universe is Mental.” (ทุกสิ่งคือจิต จักรวาลเป็นสิ่งปรุงแต่งทางจิต) มันชวนขนลุกเลยใช่ไหมล่ะ ที่ว่าความคิดของเรามีพลังสร้างสรรค์ได้ถึงเพียงนี้!
  • กฎแห่งความสอดคล้อง (The Law of Correspondence หรือ หลักการที่ว่าด้วยความสอดคล้อง): นี่คือสะพานเชื่อม มันแสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งที่อยู่ “เบื้องบน” (Above) ย่อมมีภาพสะท้อนอยู่ที่ “เบื้องล่าง” (Below) และทุกสิ่งที่อยู่ “ภายนอก” (Outside) ย่อมสะท้อนสิ่งที่อยู่ “ภายใน” (Inside) นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมโลกภายนอกของคุณถึงเป็นเหมือนกระจกเงา… “As above, so below; as below, so above.” (เฉกเช่นเบื้องบน ฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น) มันคือความจริงที่ว่าทุกระนาบของชีวิตมันเชื่อมโยงกันหมดเลยนะ!

ถ้าคุณกำลังขัดแย้งกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลาน่ะ นั่นก็เพราะว่าคุณกำลังแบก “สนามพลังงานแห่งความแตกแยก” (internal field of division) อยู่ข้างในตัวเองไงล่ะ ถ้าคุณดึงดูดแต่คนที่ไม่เห็นคุณค่าของคุณ บางที… คุณเองนั่นแหละที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองหรือเปล่า? โลกภายนอกน่ะ มันคอยแสดงให้คุณเห็นอยู่เสมอว่าสิ่งต่างๆ “ข้างใน” ตัวคุณมันเป็นยังไง นี่แหละคือ “สะพาน” ที่ไม่เคยมีใครสอนให้เราข้ามมันเลยจริงๆ!

  • กฎแห่งการสั่นสะเทือน (The Law of Vibration หรือ หลักการที่ว่าด้วยการสั่นสะเทือน): นี่คือ “การเคลื่อนไหว” ที่แท้ทรู! ไม่มีอะไรหยุดนิ่งเลยนะ ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะแข็งทื่อหรือคงทนถาวร ทุกสิ่งทุกอย่างมันสั่นสะเทือน! ทุกสิ่งทุกอย่างมันเต้นเป็นจังหวะ! ทุกความคิด ทุกอารมณ์ ทุกคำพูดที่คุณเปล่งออกมา มันสร้าง “ความถี่” (frequency) ขึ้นมา และความถี่นั้นแหละที่ดึงดูดความเป็นจริงที่ “สอดคล้อง” (matching) กันเข้ามาหาคุณ… อื้อหือ! พอคุณเข้าใจเรื่องนี้ปุ๊บนะ คุณจะเริ่มเฝ้าสังเกตสิ่งที่คุณรู้สึก สิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณเสพเข้าไปเลยล่ะ เพราะทั้งหมดนั่นมันกำลังส่งอิทธิพลต่อสิ่งที่คุณ “สำแดง” (manifest) ออกมา แม้ว่ามันจะเป็นไปโดยที่คุณไม่รู้ตัวก็ตาม! (นี่คือหัวใจของไคบาเลียนเลยนะ ที่ว่า “ไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่ง ทุกสิ่งเคลื่อนไหว ทุกสิ่งสั่นสะเทือน” – “Nothing rests; everything moves; everything vibrates.”)
  • กฎแห่งความเป็นขั้ว (The Law of Polarity หรือ หลักการที่ว่าด้วยขั้วตรงข้าม): นี่คือ “ความหลากหลาย” ในมิติของพลังงาน มันแสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งมี “สองด้าน” (dual) แสงสว่างกับเงามืด ความรักกับความกลัว ความสุขกับความเศร้า… พวกมันไม่ใช่สิ่งที่แยกจากกันนะ แต่มันคือ “ขั้วสุดโต่งของพลังงานเดียวกัน” ต่างหาก! ความแตกต่างมันอยู่ที่ “ระดับขั้น” (degree) ไม่ใช่ที่ “ธรรมชาติ” (nature) ของมัน เช่น ความโกรธเนี่ย สามารถ “แปรเปลี่ยน” (transmuted) ให้เป็นความกล้าหาญได้นะ ความกลัวสามารถเปลี่ยนเป็น “การอยู่กับปัจจุบันขณะ” (presence) ได้ ความสับสนวุ่นวาย (Chaos) ก็สามารถจัดระเบียบใหม่ให้กลายเป็น “ปัญญา” (wisdom) ได้เหมือนกัน พอคุณเข้าใจกฎข้อนี้แล้ว คุณจะเลิกต่อสู้กับขั้วสุดโต่งเหล่านั้น แล้วเริ่ม “เคลื่อนย้าย” พวกมันด้วยความตระหนักรู้แทน… สุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ? การเล่นแร่แปรธาตุทางจิตใจที่แท้จริง!
  • กฎแห่งจังหวะ (The Law of Rhythm หรือ หลักการที่ว่าด้วยจังหวะ): นี่คือ “วัฏจักร” (cycle) มันสอนเราว่าทุกสิ่งมี “กระแสขึ้นลง” (tides) เหมือนน้ำขึ้นน้ำลงเลย ทุกอย่างมีช่วงรุ่งเรืองและช่วงตกต่ำ ทุกอย่าง “หายใจ” เข้าออก ถ้าคุณกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนะ… มันจะผ่านไป! เพราะลูกตุ้มของชีวิตมันไม่เคยหยุดนิ่ง แต่เคล็ดลับมันไม่ได้อยู่ที่การพยายาม “ควบคุม” การเคลื่อนไหวนั้นนะ มันอยู่ที่การเรียนรู้ที่จะ “โต้คลื่น” (surf) มันต่างหาก! ถ้าคุณรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะ “เพาะปลูก” เมื่อไหร่ควรจะ “พักผ่อน” เมื่อไหร่ควรจะ “เงียบ” เมื่อไหร่ควรจะ “ลงมือทำ” คุณก็จะเลิกเป็น “เหยื่อ” ของวัฏจักร แล้วเริ่ม “เต้นรำ” ไปกับมันแทน! (ไคบาเลียนกล่าวไว้ว่า “ทุกสิ่งไหลเวียน, เข้าและออก; ทุกสิ่งมีจังหวะของมัน; ทุกสิ่งขึ้นและลง” – “Everything flows, out and in; everything has its tides; all things rise and fall.”)
  • กฎแห่งเหตุและผล (The Law of Cause and Effect หรือ หลักการที่ว่าด้วยเหตุและผล): นี่คือ “ห่วงโซ่” ที่มองไม่เห็น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญนะ ทุกการกระทำ (action) ก่อให้เกิดปฏิกิริยา (reaction) ทุกการเลือก (choice) มีผลลัพธ์ (consequence) ตามมาเสมอ ทุกสิ่งที่คุณกำลังประสบอยู่ในตอนนี้น่ะ มันถูกสร้างขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งในอดีต โดยการตัดสินใจ คำพูด ความคิด หรือแรงสั่นสะเทือนที่มาจากตัวคุณนั่นเอง! และนี่มันไม่ได้ใช้ได้แค่กับอดีตนะ แต่ยังรวมถึงอนาคตด้วย สิ่งที่คุณ “หว่าน” ในวันนี้ คุณจะ “เก็บเกี่ยว” มันในวันพรุ่งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ทางเลือกเป็นของคุณ แต่ผลลัพธ์นั้นแน่นอนเสมอ! (นี่คือหลักการที่ว่า “ทุกเหตุย่อมมีผลของมัน ทุกผลย่อมมีเหตุของมัน” – “Every Cause has its Effect; every Effect has its Cause.” มันคือความยุติธรรมของจักรวาลที่แท้จริง)
  • กฎแห่งเพศ (The Law of Gender หรือ หลักการที่ว่าด้วยเพศสภาพเชิงพลังงาน): นี่คือ “หลักการแห่งการสร้างสรรค์” (principle of creation) มันแสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งในจักรวาลนี้ประกอบด้วย “ความเป็นชาย” (masculine) และ “ความเป็นหญิง” (feminine) และเราไม่ได้กำลังพูดถึงเพศทางชีววิทยานะ แต่เรากำลังพูดถึง “คุณสมบัติทางพลังงาน” (energetic qualities) ต่างหาก! ความเป็นชายคือ “การกระทำ” (action) “การมุ่งเน้น” (focus) “ทิศทาง” (direction) ส่วนความเป็นหญิงคือ “สัญชาตญาณ” (intuition) “การรับ” (reception) “การบ่มเพาะ” (gestation) ทุกกระบวนการสร้างสรรค์ต้องการทั้งสองสิ่งนี้เลยนะ! ไอเดียจะต้องถูก “รับ” เข้ามา (ความเป็นหญิง) แล้วจากนั้นก็ต้องถูก “ลงมือทำ” (ความเป็นชาย) โครงการจะต้องถูก “รู้สึก” (ความเป็นหญิง) แล้วจากนั้นก็ต้องถูก “ทำให้ปรากฏเป็นจริง” (ความเป็นชาย) ถ้าขาดความสมดุลระหว่างสองแง่มุมนี้ไป ทุกอย่างมันจะรู้สึกไม่สมบูรณ์เอาซะเลย (ไคบาเลียนสอนว่า “เพศสภาพอยู่ในทุกสิ่ง ทุกสิ่งมีหลักการแห่งความเป็นชายและความเป็นหญิงของมัน” – “Gender is in everything; everything has its Masculine and Feminine Principles.”)

และเมื่อคุณเริ่มมองเห็นกฎเหล่านี้ ไม่ใช่แค่เป็นกฎเกณฑ์นามธรรมที่น่าเบื่อ แต่เป็น “กลไกที่มีชีวิต” (living mechanisms) ที่กำลังทำงานอยู่ “ข้างในตัวคุณ” เองนั่นแหละ คุณจะเริ่มเคลื่อนไหวไป “พร้อมกับ” พวกมัน เริ่มที่จะนำทาง เริ่มที่จะ “ร่วมสร้าง” (co-create) กับจักรวาล

คุณจะเลิกถูกชีวิตซัดไปซัดมา แล้วเริ่มที่จะ “โต้คลื่น” แห่งจักรวาลด้วยความสมดุลที่มากขึ้น ด้วยความตระหนักรู้ที่มากขึ้น ด้วยความเบาสบายที่มากขึ้น! เพราะนี่คือ “กุญแจ” สำคัญเลยนะ: ไม่ว่าคุณจะเรียนรู้ที่จะใช้กฎเหล่านี้อย่างมีสติ หรือคุณจะถูกมันลากไปอย่างไม่รู้ตัว…

มันไม่มีตรงกลางนะ! พวกมันไม่เคยหยุดทำงานเลย ความแตกต่างมันอยู่แค่ว่าคุณ “ตื่น” หรือคุณ “หลับ” เท่านั้นเอง คุณกำลัง “สร้างสรรค์” หรือคุณกำลัง “ถูกพัดพาไป” มันไม่มีพื้นที่ที่เป็นกลางในจักรวาลหรอกนะ คุณกำลังสั่นสะเทือนบางอย่างอยู่เสมอ

คุณกำลังสำแดงบางอย่างออกมาอยู่เสมอ และถ้าคุณไม่ได้ “เลือก” มันอย่างมีสติแล้วล่ะก็… สิ่งอื่นหรือใครอื่นกำลังเลือกมันให้คุณอยู่! ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่างๆ บาดแผลในใจของคุณ ระบบต่างๆ ความกลัวของคุณ อดีตของคุณ ทั้งหมดนั่นสามารถ “ตั้งโปรแกรม” จิตใจของคุณได้เลยนะ ถ้าคุณไม่กุมบังเหียนมันเอาไว้!

แต่ตอนนี้… ที่คุณเข้าใจแล้วว่ากฎทั้งหมดนี้ จริงๆ แล้วมันคือ “ปัญญาหนึ่งเดียวที่กำลังเคลื่อนไหว” (one intelligence in motion) คุณสามารถเริ่มใช้ความรู้นี้เป็นเหมือน “แผนที่แท้จริง” เป็นเหมือน “คู่มือลับของความเป็นจริง” เป็นเหมือน “ซอร์สโค้ด” ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง… รวมถึงตัวคุณด้วย!

ทีนี้ พอเราเริ่มมองเห็นจักรวาลเป็น “สนามพลังงานที่รวมเป็นหนึ่งเดียวของกฎอันชาญฉลาด” (unified field of intelligent laws) ที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาแล้ว มันก็มาถึงจุดที่คำถามหนึ่งซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้จะผุดขึ้นมา

นั่นคือ… “แล้วเราจะใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับทั้งหมดนี้ได้ยังไงล่ะ?” จะเกิดอะไรขึ้นกับคนคนหนึ่งที่ “ตื่นขึ้น” (wakes up) และเริ่มตระหนักถึง “สัญญาณที่ซ่อนเร้น” (hidden signs) อยู่เบื้องหลังความเป็นจริงที่มองเห็นได้?

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ… “การถือกำเนิดของผู้รู้แจ้ง” (the birth of the initiate) หรือผู้ที่ได้รับการ “ปฐมนิเทศ” สู่ความจริง! ผู้รู้แจ้งในที่นี้ ไม่ใช่คนท่ี่อ่านหนังสือลับๆ หรือท่องจำชื่อลึกลับอะไรเทือกนั้นหรอกนะ

แต่เป็นคนที่ “หยุดต่อสู้กับชีวิต” และ “เริ่มไหลลื่นไปกับมัน” ต่างหาก! ผู้รู้แจ้งที่แท้จริงน่ะ เข้าใจบางสิ่งที่คนส่วนใหญ่เพิกเฉย… นั่นคือ มันไม่ใช่เรื่องของการ “ควบคุม” จักรวาล แต่มันคือการ “ปรับตัวให้สอดคล้อง” (aligning) กับจักรวาลต่างหาก! และนั่น… มันเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปเลย!

ดูสิ นักว่ายน้ำที่กระโจนลงไปในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก แล้วพยายามว่ายทวนกระแสน้ำน่ะ ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะหมดแรง เขาจะเหนื่อยล้า ท้อแท้ และไม่ว่าเขาจะพยายามสู้สุดกำลังแค่ไหน เขาก็จะถูกกระแสน้ำพัดพาไปอยู่ดี แต่… นักว่ายน้ำที่ “สังเกต” ทิศทางของกระแสน้ำ ที่ “เข้าใจ” จังหวะของสายน้ำ และ “ยอม” ที่จะไหลไปตามกระแสนั้น เขากลับสามารถไปได้ไกลกว่ามาก ด้วยความพยายามที่น้อยกว่าเยอะเลย! เขา “โต้คลื่น” เขา “เต้นรำ” ไปกับการเคลื่อนไหวนั้น… เห็นภาพเลยใช่ไหมล่ะ?

คัมภีร์ไคบาเลียน (The KYBALION) น่ะ ได้กล่าวประโยคหนึ่งที่น้อยคนนักจะซึมซับมันได้อย่างแท้จริง… นั่นคือ: “เหล่าปรมาจารย์ (The masters) เคารพกฎเกณฑ์ในระนาบที่สูงกว่า และควบคุมกฎเกณฑ์นั้นในระนาบที่ต่ำกว่า” (The masters obey the law on higher plains and rule it on lower ones.) มันหมายความว่ายังไงกันนะ?

มันหมายความว่า พลังอำนาจที่แท้จริงน่ะ มันไม่ได้อยู่ที่การไปท้าทายโครงสร้างของจักรวาลหรอกนะ แต่มันอยู่ที่การ “ทำความเข้าใจ” มันอย่างลึกซึ้งสุดๆ จนกระทั่งมันเริ่มทำงาน “เพื่อเอื้อประโยชน์” ให้กับคุณต่างหาก!

ปรมาจารย์หรือผู้รู้แจ้งน่ะ เขาไม่ต่อสู้ต้านทานกระแสคลื่นแห่งการดำรงอยู่หรอก เขา “เข้าใจ” วัฏจักรต่างๆ เขา “อ่าน” สัญญาณที่ปรากฏ เขา “มองเห็น” สิ่งที่มองไม่ด้วยตาเปล่า และเขา “ลงมือกระทำ” ด้วยความแม่นยำ… นั่นแหละคือ “ปัญญาญาณที่กำลังทำงาน” (wisdom in action) อย่างแท้จริง!

ในทางปฏิบัตินะ สิ่งนี้มันจะแสดงออกมาในการเลือกเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันเลยล่ะ:

  • เมื่อความท้าทายปรากฏขึ้น ผู้รู้แจ้ง (the initiate) เขาจะไม่ถามว่า “ทำไมเรื่องนี้ต้องมาเกิดกับฉันด้วย?” แต่เขาจะถามว่า “สิ่งนี้กำลังพยายามจะแสดงอะไรให้ฉันเห็นกันแน่นะ?”
  • เมื่อช่วงเวลาที่ยากลำบากมาถึง พวกเขาจะไม่สติแตกโวยวาย แต่พวกเขาจะ “สงบนิ่ง” (go quiet) “หายใจ” (breathe) และตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของ “จังหวะ” (rhythm) ของจักรวาล… “ฉันสามารถเคลื่อนผ่านมันไปได้”
  • พวกเขาไม่ “โต้ตอบโดยอัตโนมัติ” (react automatically) แต่พวกเขา “ตอบสนองอย่างมีสติ” (respond consciously)

และไอ้ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ระหว่าง “การโต้ตอบ” กับ “การตอบสนอง” นี่แหละ มันคือ “การก้าวกระโดดทางควอนตัม” (quantum leap) บนเส้นทางจิตวิญญาณเลยนะ! เพราะผู้รู้แจ้งน่ะ

เขารู้ว่าทุกเหตุการณ์ในชีวิตมันมี “รหัสลับ” (hidden code) ซ่อนอยู่ ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางชีวิตของเขา ทุกการสูญเสีย ทุกสิ่งที่ได้รับมา ทุกความเงียบงัน… ทั้งหมดนั้นมันคือ “ภาษา” (language) มันคือ “สัญลักษณ์” (symbolic) ทั้งสิ้น!

และบรรดาผู้ที่ได้เรียนรู้ที่จะ “อ่าน” สัญลักษณ์เหล่านั้นแล้วน่ะ พวกเขาจะไม่ใช้ชีวิตแบบ “ออโต้ไพลอท” (autopilot) หรือปล่อยไปตามยถากรรมอีกต่อไป แต่พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่กับ “ปัจจุบันขณะ” (presence) อยู่ใน “ความสอดคล้อง” (alignment) กับจักรวาล… และนั่นแหละคือที่ที่ “พลังอำนาจที่แท้จริง” (true power) ถือกำเนิดขึ้น!

เพราะ… ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราถูกสอนมาเลยนะ… พลังอำนาจมันไม่ใช่การควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง! แต่มันคือการ “ปรับจูนตัวเอง” (being so in tune) ให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของ “องค์รวม” (The ALL หรือสรรพสิ่ง)

จนกระทั่งคุณกลายเป็น “หนึ่งเดียว” (one) กับพวกมันต่างหาก! และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นนะ คุณจะเริ่มเข้าถึง “กระแส” (flow) ในชีวิต ที่มันดูเหมือน “เวทมนตร์” (magical) ในสายตาของคนที่ยังคง “หลับใหล” (asleep) อยู่

ผู้คนจะเริ่มสังเกตเห็นว่าคุณน่ะ ไม่ได้หวั่นไหวง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว คุณเปลี่ยนทิศทางได้อย่างง่ายดาย คุณไม่หลงเข้าไปในวังวนของดราม่า

คุณไม่ตื่นตระหนกกับความล่าช้าต่างๆ… เพราะคุณเข้าใจแล้วว่า ชีวิตไม่ได้กำลัง “ก่อวินาศกรรม” (sabotaging) คุณ แต่มันกำลัง “หล่อหลอม” (shaping) คุณต่างหาก! และทุกสิ่งทุกอย่าง… ย้ำว่าทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ! มันมี “เป้าหมายที่ลึกซึ้งกว่า” (deeper purpose) ซ่อนอยู่เสมอ แม้ว่าเป้าหมายนั้นจะยังมองไม่เห็นในตอนนี้ก็ตาม…

นั่นแหละคือความหมายของการใช้ชีวิตในฐานะ “ผู้รู้แจ้ง” (an initiate) คือการหยุดจมดิ่งอยู่ใน “แรงต้านภายใน” (internal resistance) และเริ่ม “พายเรือ” (rowing) ไปกับ “จังหวะของจักรวาล” (rhythm of the universe)

แต่… ฟังให้ดีนะ! นี่ไม่ได้หมายถึงการ “นิ่งเฉย” (passivity) ปล่อยไปตามเรื่องตามราวนะ มันไม่ได้หมายถึงการยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็นไป… ตรงกันข้ามเลย! มันหมายถึงการ “ลงมือทำด้วยปัญญา” (acting with wisdom) ไม่ใช่ด้วยความสิ้นหวัง มันหมายถึงการ “รู้ว่าเมื่อไหร่ควรถอย” และ “เมื่อไหร่ควรจะเดินหน้า” เมื่อไหร่ควรจะ “เงียบ” และเมื่อไหร่ควรจะ “พูด” ต่างหากล่ะ!

การเข้าใจกฎเหล่านี้คือการได้รับเครื่องมือ ไม่ใช่การยอมจำนนต่อโชคชะตา แต่มันคือการเป็นผู้ร่วมสร้างโชคชะตาของตัวเองอย่างมีสติและทรงพลัง! นี่แหละคือแก่นแท้ของการเล่นแร่แปรธาตุในชีวิตจริง!

“ผู้เข้าถึงแก่นแท้ (The initiate) ก็เปรียบเหมือนวาทยกรล่องหน ที่สัมผัสได้ถึงท่วงทำนองเพลงซิมโฟนีแห่งการดำรงอยู่ และเลือกแต่ละท่วงท่าด้วยความแม่นยำ เพราะพวกเขาไม่ได้พยายามจะไปบงการความเป็นจริงอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเขากำลังร่วมสร้างสรรค์ไปกับมันต่างหาก และนี่คือรายละเอียดที่ทรงพลังที่สุด

ยิ่งคุณปรับตัวเองให้สอดคล้องกับกฎเหล่านี้มากเท่าไหร่ ชีวิตก็จะยิ่งเริ่มตอบสนองคุณแบบทันทีทันใดมากขึ้นเท่านั้น คุณรู้จักความรู้สึกแบบนั้นไหม ความรู้สึกของการเกิดซิงโครนิซิตี้ (Synchronicity) หรือเหตุการณ์ประจวบเหมาะ การได้ไปอยู่ในถูกที่ถูกเวลา การพูดอะไรบางอย่างออกไปแล้วมันก็เกิดขึ้นจริง

การคิดถึงใครบางคนแล้วพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นมา นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยนะ! แต่มันคือการปรับจูนจนเข้าที่ต่างหากล่ะ! มันคือภาษาที่มีชีวิตของ ‘สรรพสิ่ง’ (The All) ที่กำลังตอบสนองต่อแรงสั่นสะเทือนที่สอดคล้องของคุณยังไงล่ะ!

และในสภาวะนั้น สิ่งต่างๆ อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่มันจะชัดเจนขึ้นมาก คุณจะหยุดพยายามทำความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสมองส่วนเหตุผล แล้วเริ่มรับรู้ด้วยหัวใจที่ตื่นรู้ของคุณ คุณจะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง

คุณจะสัมผัสได้ถึงทิศทางก่อนที่จะรู้แจ้งถึงเหตุผลเสียอีก เพราะคุณไม่ได้แยกขาดออกจาก ‘สรรพสิ่ง’ อีกต่อไปแล้ว คุณคือ ‘สรรพสิ่ง’ ในรูปแบบของประสบการณ์ นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของความเป็นปรมาจารย์ แต่ไม่ใช่ความเป็นปรมาจารย์ที่คอยจะครอบงำนะ แต่เป็นความเป็นปรมาจารย์ที่รับฟัง ที่รู้สึก ที่ร่วมมือกับความเป็นจริงต่างหาก

ผู้เข้าถึงแก่นแท้จะไม่วิ่งหนีจากความเจ็บปวด พวกเขาเข้าใจดีว่าแม้แต่ความเจ็บปวดก็คือครูบาอาจารย์อย่างหนึ่ง ผู้เข้าถึงแก่นแท้จะไม่เชิดชูบูชาความสำเร็จ พวกเขารู้ว่าความสำเร็จก็เป็นการทดสอบอย่างหนึ่งเช่นกัน

ผู้เข้าถึงแก่นแท้ดำเนินชีวิตด้วยเท้าที่ยังคงเหยียบอยู่บนพื้นดิน แต่ด้วยจิตวิญญาณที่เปิดกว้าง พวกเขาอาจไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขามีสติรู้ตัวอยู่เสมอ และนั่นแหละที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะท้ายที่สุดแล้ว จักรวาลไม่ได้ตอบสนองต่อสิ่งที่คุณต้องการ แต่มันตอบสนองต่อสิ่งที่คุณเป็นต่างหาก!

แต่การรู้เรื่องทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าคุณไม่รู้วิธีที่จะนำมันไปปรับใช้? ความรู้เพียงอย่างเดียวมันไม่ได้เปลี่ยนชีวิตใครหรอกนะ สิ่งที่พลิกโฉมความเป็นจริงก็คือตอนที่ความรู้กลายเป็นการกระทำต่างหาก! และนี่คือจุดที่คัมภีร์ ‘ไคบาเลียน’ หยุดเป็นเพียงหนังสือลึกลับ และกลายเป็นแผนที่ที่มีชีวิตชีวา ที่สามารถจัดระบบประสบการณ์ของคุณกับโลกใบนี้เสียใหม่ได้ เพราะความจริงมันเรียบง่ายมาก

ความเป็นจริงจะเปลี่ยนไปก็ต่อเมื่อคุณเปลี่ยนแปลง และคุณจะเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อคุณเริ่มที่จะกระทำอย่างสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง คุณไม่จำเป็นต้องท่องจำศัพท์แสงซับซ้อน หรือทำความเข้าใจปรัชญาล้ำลึกอะไรเลย คุณแค่ต้องสังเกตอย่างใกล้ชิด และเริ่มใช้ชีวิตให้แตกต่างออกไป

คัมภีร์ ‘ไคบาเลียน’ นี่พูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลยนะ มันไม่ได้มอบศาสนาหรือความเชื่อแบบงมงายให้คุณ แต่มันมอบเครื่องมือให้คุณต่างหาก! และตอนนี้ คุณจะได้เห็นว่าเครื่องมือแต่ละชิ้นนั้นสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง ด้วยวิธีที่ปฏิบัติได้จริง เรียบง่าย และทรงพลังอย่างลึกซึ้ง

ลองมาเริ่มกันที่ หลักการแห่งจิต (Mentalism) ซึ่งเป็นกฎข้อแรก: ทุกสิ่งคือจิต (Everything is Mind) คำถามคือ

  • ตอนนี้คุณกำลังคิดอะไรอยู่?
  • คุณกำลังป้อนอะไรเข้าไปในหัวของคุณอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน?
  • เพราะว่าโลกภายนอกของคุณน่ะ มันเป็นภาพสะท้อนที่แม่นยำเป๊ะๆ ของสิ่งที่คุณสั่นสะเทือนอยู่ภายใน และภาพสะท้อนนั้นมันก็ถือกำเนิดมาจากบทสนทนาภายในใจของคุณเอง คุณวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง หรือว่ายกย่องตัวเองกันล่ะ?
  • คุณมองตัวเองว่าเป็นเหยื่อ หรือว่าเป็นผู้สร้างสรรค์?
  • คุณจินตนาการถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุด หรือว่าอนุญาตให้ตัวเองมองเห็นภาพที่ดีที่สุด?

การสร้างภาพในใจ (Visualization) การยืนยันเชิงบวก (Affirmation) และการตระหนักรู้ในความคิด (Thought Awareness) เหล่านี้คือเครื่องมือทางจิตวิญญาณนะ ไม่ใช่แค่เทคนิคช่วยพัฒนาตนเองธรรมดาๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นในโลกของจิตที่มองไม่เห็นก่อนที่มันจะปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมในโลกภายนอกยังไงล่ะครับ!

นี่มันคือแก่นเลย! จักรวาลทั้งหมดที่เราเห็น แท้จริงแล้วคือการสำแดงออกของจิตอันยิ่งใหญ่ หรือ “The All” นั่นเอง!

กฎข้อที่สองคือ หลักการแห่งความสอดคล้อง (Correspondence): เบื้องบนเป็นฉันใด เบื้องล่างก็เป็นฉันนั้น (As above, so below) ฟังดูเหมือนบทกวีใช่ไหมล่ะ แต่จริงๆ แล้วมันใช้ได้จริงสุดๆ เลยนะ อยากจะเข้าใจชีวิตของคุณงั้นเหรอ?

ก็ลองมองดูธรรมชาติดูสิ กลางวันผลัดเปลี่ยนเป็นกลางคืน น้ำขึ้นแล้วก็มีน้ำลง ฤดูหนาวก็ย่อมเตรียมหนทางให้กับฤดูใบไม้ผลิเสมอ ในทำนองเดียวกัน จิตวิญญาณของคุณก็ต้องผ่านวัฏจักรต่างๆ ด้วยเช่นกัน ชีวิตประจำวันของคุณก็ตอบสนองต่อจังหวะที่ใหญ่กว่านั้น และคุณสามารถใช้กฎข้อนี้เพื่อสร้างความกลมกลืนระหว่างความโกลาหลภายในกับจักรวาลภายนอกได้

คอยสังเกตหารูปแบบดูสิครับ! เมื่อมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ อะไรกันนะที่มันเกิดซ้ำๆ? แล้วเมื่อมีอะไรบางอย่างไหลลื่นดี มีอะไรปรากฏอยู่ตรงนั้นบ้าง?

จักรวาลน่ะให้เบาะแสคุณอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ คุณแค่ต้องเรียนรู้ที่จะอ่านมันให้ออกเท่านั้นเอง เหมือนกับว่า โลกใบเล็กในตัวเรา (Microcosm) ก็สะท้อนโลกใบใหญ่ (Macrocosm) นั่นแหละครับ

ข้อที่สามคือ หลักการแห่งการสั่นสะเทือน (Vibration): ทุกสิ่งสั่นสะเทือน (Everything vibrates) ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแผ่คลื่นความถี่ออกมา และคำถามที่จะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างก็คือ:

  • คุณกำลังสั่นสะเทือนอยู่ที่คลื่นความถี่ใด?
  • คุณกำลังสั่นสะเทือนด้วยความรู้สึกผิด ความกลัว ความขาดแคลน หรือว่าคุณกำลังสั่นสะเทือนด้วยการอยู่กับปัจจุบัน ความรู้สึกขอบคุณ และความไว้วางใจ?

คุณหลอกกฎข้อนี้ไม่ได้นะ มันไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่คุณพูดว่าคุณต้องการ แต่มันตอบสนองต่อสิ่งที่คุณรู้สึกจริงๆ ต่างหาก! และการยกระดับแรงสั่นสะเทือนของคุณน่ะมันง่ายนิดเดียว หายใจเข้าลึกๆ เดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน รู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับปัจจุบันขณะนี้ อยู่เงียบๆ สักสองสามนาที ฟังเพลงที่ช่วยยกระดับจิตใจคุณ ยิ้มให้ใครสักคน

แค่นั้นก็เปลี่ยนคลื่นความถี่ของคุณแล้วล่ะครับ! และเมื่อคลื่นความถี่ของคุณเปลี่ยน ความเป็นจริงของคุณก็จะปรับเปลี่ยนตามไปด้วย ลองนึกภาพตามสิครับว่าทุกอะตอมในตัวคุณและรอบตัวคุณกำลังเต้นระบำอยู่ตลอดเวลา!

กฎข้อที่สี่คือ หลักการแห่งความเป็นขั้ว (Polarity): ทุกสิ่งมีสองขั้ว (Everything is dual) หนาวกับร้อนก็อยู่ในเส้นเดียวกันนั่นแหละ แค่อยู่คนละระดับ เช่นเดียวกับความกลัวและความรัก ความโกลาหลและความเป็นระเบียบ ความสงสัยและความศรัทธา ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่บนมาตรวัดเดียวกัน

นั่นหมายความว่าถ้าคุณกำลังอยู่ที่ขั้วสุดโต่งด้านหนึ่ง คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนธรรมชาติของตัวเองเลย คุณแค่ต้องเลื่อนระดับมันเท่านั้นเอง คุณสามารถเปลี่ยนความโกรธของคุณให้กลายเป็นความกล้าหาญได้ คุณสามารถแปรเปลี่ยนความเศร้าให้เป็นการใคร่ครวญอย่างสร้างสรรค์ได้

คุณสามารถค่อยๆ เคลื่อนจากความกลัวไปสู่ความรักได้ เหมือนกับการปรับปุ่มเพิ่มลดเสียงยังไงยังงั้นเลย การเล่นแร่แปรธาตุทางจิตวิญญาณ (Spiritual Alchemy) ที่ไคบาเลียนสอนนั้น ไม่ใช่การกำจัดอารมณ์ทิ้งไป แต่เป็นการเคลื่อนย้ายพลังงานของคุณไปในทิศทางที่ถูกต้องต่างหากล่ะครับ! มันคือการเปลี่ยนตะกั่วให้เป็นทองคำในทางอารมณ์และความคิด!

กฎข้อที่ห้าคือ หลักการแห่งจังหวะ (Rhythm): ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง (Nothing stays the same) ทุกสิ่งมีขึ้นมีลง มีวัฏจักรในทุกสรรพสิ่ง มีทั้งวันที่สว่างไสวและวันที่มีเงามืด และการรู้เรื่องนี้จะนำความสงบมาสู่คุณ เพราะเมื่อกระแสน้ำลดลง คุณจะจำได้ว่าเดี๋ยวมันก็จะขึ้นอีกครั้ง และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเบ่งบาน คุณก็จะยังคงถ่อมตน โดยรู้ว่าฤดูใบไม้ร่วงย่อมมาเยือนเสมอ

ความลับไม่ได้อยู่ที่การต่อต้านคลื่นเหล่านั้น แต่อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะโต้คลื่นต่างหาก! ในวันที่หนักหนาสาหัส ก็ให้หยุดพัก หายใจ และไว้วางใจ ในวันที่ดี ก็ให้ขอบคุณ แบ่งปัน และหว่านเมล็ดพันธุ์ นั่นแหละคือปัญญาแห่งจังหวะ นั่นคือการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับจังหวะของจักรวาล

กฎข้อที่หกคือ หลักการแห่งเหตุและผล (Cause and Effect): ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ (Nothing happens by chance) ทุกการกระทำสร้างปฏิกิริยา ทุกความคิดสร้างสนามพลังงาน ทุกเจตนาหล่อหลอมผลลัพธ์ ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนการเก็บเกี่ยวของคุณ ก็จงเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงไปสิ! บ่มเพาะความคิดที่มีสติรู้ตัวมากขึ้น

เลือกใช้คำพูดด้วยการตระหนักรู้มากขึ้น กระทำด้วยเจตนาที่ชัดเจนมากขึ้น ทุกสิ่งที่คุณทำ แม้แต่สิ่งที่ไม่มีใครเห็น มันกำลังสร้างวันพรุ่งนี้ของคุณอยู่ ไม่มีประโยชน์ที่จะไปบ่นว่าโชคชะตา ถ้าคุณใช้ชีวิตโดยไม่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์อย่างมีสติ

ผลลัพธ์มันก็เป็นเพียงกระจกสะท้อนของสาเหตุเท่านั้นแหละ และกระจกบานนั้นไม่เคยโกหกเลยนะ! หลักการนี้คล้ายกับกฎแห่งกรรมในบ้านเราเลยนะครับ ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว มันคือความยุติธรรมของจักรวาล

และกฎข้อที่เจ็ด ข้อสุดท้ายคือ หลักการแห่งเพศสภาวะ (Gender): ทุกสิ่งมีทั้งหลักการแห่งความเป็นชายและหญิง (Everything contains both the masculine and feminine principle) และเราไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องชีววิทยานะครับ เรากำลังพูดถึงเรื่องของจิตสำนึกต่างหาก

หลักการแห่งความเป็นชาย (Masculine principle) คือการมุ่งเน้น การตัดสินใจ การกระทำ ส่วนหลักการแห่งความเป็นหญิง (Feminine principle) คือสัญชาตญาณ การเปิดรับ และความไว เมื่อสองแง่มุมนี้ไม่สมดุลกัน ชีวิตก็จะติดขัด

คุณอาจจะลงมือทำมากเกินไปโดยไม่ฟังเสียงหัวใจตัวเอง หรือคุณอาจจะฟังมากเกินไปโดยไม่ลงมือทำเสียที การสร้างสรรค์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองด้านนี้เต้นรำไปด้วยกันเท่านั้น การสร้างสมดุลระหว่างตรรกะและความรู้สึก การลงมือทำและการรับรู้ การตัดสินใจและการหยั่งรู้ด้วยสัญชาตญาณ นั่นแหละคือสิ่งที่กระตุ้นพลังในการร่วมสร้างสรรค์ของคุณ!

และนี่คือความลับที่เชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน: คุณไม่จำเป็นต้องทำให้มันถูกต้องเป๊ะๆ ตลอดเวลา คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ คุณแค่ต้องอยู่ในสภาวะที่สอดคล้องเท่านั้นเอง เมื่อคุณเริ่มปรับชีวิตของคุณให้สอดคล้องกับกฎเหล่านี้

แม้จะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม ความเป็นจริงจะเริ่มจัดระเบียบตัวเองรอบตัวคุณ เพราะจักรวาลตอบสนองต่อเจตนาที่จริงใจ มันตอบสนองต่อการอยู่กับปัจจุบัน มันตอบสนองต่อการตระหนักรู้ และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ ‘ไคบาเลียน’ ทรงพลังเหลือเกิน มันไม่ใช่สูตรวิเศษอะไร แต่มันคือเครื่องเตือนความจำถึงสิ่งที่คุณเป็นอยู่แล้วต่างหาก

แต่ก่อนที่คุณจะไป มีบางสิ่งที่สำคัญกำลังรอคุณอยู่ มีวิดีโอพิเศษที่ถูกเตรียมขึ้นมาอย่างตั้งใจเพื่อช่วยให้คุณดำดิ่งลึกลงไปในทุกสิ่งที่คุณได้เริ่มจดจำได้ที่นี่ มันเหมือนกับการเดินทางต่อเนื่องของการตื่นรู้นี้ เป็นก้าวต่อไปบนเส้นทางที่ได้เริ่มต้นขึ้นภายในตัวคุณแล้ว

และตอนนี้มันกำลังเรียกร้องหาความกระจ่างแจ้งที่มากขึ้น การอยู่กับปัจจุบันที่มากขึ้น การตระหนักรู้ที่มากขึ้น ดังนั้น อย่าเพิ่งปิดแท็บนี้นะครับ อย่าเพิ่งกลับไปหาสิ่งรบกวนสมาธิ แค่คลิกวิดีโอที่กำลังจะปรากฏขึ้นบนหน้าจอตอนนี้เลย แล้วเราไปเจอกันที่นั่นนะครับ แล้วพบกันอีกฝั่งครับ!

เป็นยังไงกันบ้างครับ ขนลุกซู่เลยไหม? “เดอะ ไคบาเลียน” ไม่ใช่แค่หนังสือ แต่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่อาจจะไขประตูสู่ความเข้าใจในชีวิตและจักรวาลได้อย่างแท้จริงเลยทีเดียว ลองนำหลักการเหล่านี้ไปใคร่ครวญและปรับใช้ในชีวิตประจำวันดูนะครับ แล้วคุณอาจจะพบกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ใจก็เป็นได้!

2 Comments

  1. เจ๋งมาก ครับ แต่ผมไม่เห็นวิดิโอที่ทิ้งท้ายไว้เลยครับ

    • ต้องขอโทษด้วยครับ เป็นวีดีโอเกี่ยวกับ Corpus Hermeticum ของช่องหนึ่งรวบรวมสรุปเนื้อหาไว้ดีมาก ภาพและดนตรีประกอบไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาแต่สวยและดนตรีเร้าใจน่าค้นหามาก แต่ตอนนี้ลิงค์เข้าไม่ได้แล้วครับคาดว่าอาจโดนรีพอร์ทละเมิดลิขสิทธิ์ภาพและดนตรีที่ใช้ แต่ทางเรลืมปรับเนื้อหาตรงนี้ออกครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *