สรุปเนื้อหาหนังสือ  The Intelligent Investor by Benjamin Graham แบบอ่านง่ายและครอบคลุมเนื้อหาทั้งเล่ม 20 บท ให้เข้าใจภายในเวลา 1 ชั่วโมง

ที่ผ่านมา เราอาจได้พูดคุยกันอย่างเข้มข้นถึงพลังของ “โลกภายใน” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิตใจ, ความคิด, ความเชื่อ, ความศรัทธา, และความปรารถนาอันแรงกล้าในการสร้างความมั่งคั่ง เราได้เรียนรู้ที่จะสร้างภาพความสำเร็จในจินตนาการเพื่อเป็นพิมพ์เขียวและจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ความร่ำรวย

แต่ในบทความนี้ เราจะเอาพลังที่ได้เรียนรู้เหล่านั้นที่ส่งเสริมเป็นแรง “คิด” ให้รวย ไปสู่การ “ลงมือทำ” เพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างเป็นรูปธรรมครับ เนื้อหาของเราจะแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะเราจะเปลี่ยนจากพลังแห่งศรัทธามาสู่พลังแห่ง ความรู้ 

เราจะมาเน้นถึงการใช้ความคิดที่ไม่ใช่แค่การคิดฝัน แต่เป็นความคิดที่สามารถนำไปปฏิบัติและสร้างผลลัพธ์ได้จริง นั่นคือการนำความคิดมาแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำที่จับต้องได้ผ่าน “ทักษะในการลงทุน” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะเปลี่ยนความปรารถนาให้กลายเป็นความจริงที่อยู่ในบัญชีธนาคารของคุณ

ในโลกของการลงทุนที่ดูเหมือนป่าดงดิบอันกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยเสียงกระซิบของ “หุ้นเด็ด” และความผันผวนที่น่าหวาดหวั่น หลายคนอาจรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในบ่อนคาสิโนขนาดยักษ์มากกว่าการสร้างความมั่งคั่ง ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้

มีคัมภีร์เล่มหนึ่งที่เปรียบเสมือนแผนที่นำทางและเข็มทิศที่ไม่มีวันล้าสมัย นั่นคือ “The Intelligent Investor” โดยเบนจามิน เกรแฮม บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่าและอาจารย์ของนักลงทุนระดับตำนานอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์

หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่คู่มือรวยทางลัดหรือสูตรลับทำกำไรในชั่วข้ามคืน แต่เป็นปรัชญาการสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนด้วยอาวุธที่สำคัญที่สุดสามอย่าง นั่นคือ สติปัญญา, วินัย, และการควบคุมอารมณ์ อย่างไรก็ตาม การจะอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาที่ลึกซึ้งทั้งเล่มอาจต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่นที่สูง

บล็อคนั้งจึงเกิดขึ้นเพื่อกลั่นกรองแก่นแท้และหัวใจสำคัญของทั้ง 20 บทออกมาให้คุณโดยเฉพาะ โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและสไตล์การเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม หากคุณตั้งใจอ่านอย่างจริงจังไม่วอกแวกจะทำให้คุณสามารถซึมซับหลักการลงทุนที่เป็นอมตะได้ทั้งหมดภายในเวลา 1 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่กำลังจะก้าวเท้าแรกเข้าสู่ตลาด หรือเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์ที่ต้องการทบทวนรากฐานให้มั่นคง เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมาถอดรหัสความลับเหนือกาลเวลาที่จะเปลี่ยนมุมมองการลงทุนของคุณไปตลอดกาลด้วยกันครับ

ลองจินตนาการตามนะครับ… คุณกำลังยืนอยู่ในตลาดที่ผู้คนพลุกพล่าน บางคนกำลังแห่ซื้อของอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังตื่นตระหนกและรีบเทขาย คุณสัมผัสได้ถึงความวุ่นวาย เสียงจอแจ และแรงกดดัน

แต่แล้วท่ามกลางความบ้าคลั่งทั้งหมดนี้ กลับมีชายชราคนหนึ่งที่ยังคงสงบนิ่ง สุขุม และแทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น เขาไม่ได้กำลังไล่ล่าผลกำไร และก็ไม่ได้หวาดกลัวการขาดทุน เขากำลังเล่นเกมที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง… ชายคนนั้นคือ “นักลงทุนผู้ชาญฉลาด

และหนังสือเล่มนี้ของเบนจามิน เกรแฮม ผู้เป็นอาจารย์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ได้เกี่ยวกับวิธีการรวยทางลัด แต่มันเกี่ยวกับวิธีที่จะไม่ทำอะไรโง่ ๆ กับเงินของคุณ มันคือการสร้างความมั่งคั่งด้วยสติปัญญา วินัย และจิตใจที่สงบนิ่ง

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กอายุ 17 ที่พยายามเก็บเงินก้อนแรก, คนอายุ 30 ที่กำลังไล่ตามความฝัน, หรือคนอายุ 60 ที่สงสัยว่ามันสายเกินไปหรือเปล่า

การเดินทางครั้งนี้ก็เหมาะสำหรับคุณ เพราะในโลกที่ผู้คนใช้เงินเล่นพนันกันอยู่ทุกวัน หนังสือเล่มนี้จะสอนให้คุณรู้จักวิธีปกป้องมัน ทำให้มันเติบโต และที่สำคัญที่สุดคือการเคารพมัน เรามาถอดรหัสความลับเหนือกาลเวลาของนักลงทุนผู้ชาญฉลาดไปพร้อมกัน ทีละบท ทีละบทกันเถอะครับ

พร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลยครับ

สารบัญ

ผลลัพธ์ที่นักลงทุนผู้ชาญฉลาดคาดหวังได้ หากคุณเข้าใจบทนี้อย่างลึกซึ้งแล้วล่ะก็ คุณจะไม่มีวันมองเรื่องเงิน, หุ้น, หรือข่าวสารแบบเดิม ๆ อีกต่อไป

เรามาเริ่มกันด้วยคำถามง่าย ๆ กันก่อน คุณกำลัง “ลงทุน” หรือกำลัง “เก็งกำไร” อยู่กันแน่?

มันอาจฟังดูเป็นความแตกต่างเพียงเล็กน้อย แต่มันคือทุกสิ่งทุกอย่างเลยทีเดียว การลงทุนคืออะไร?

เบนจามิน เกรแฮม นิยาม “การลงทุน” ว่าคือ “การดำเนินการซึ่งผ่านการวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ให้คำมั่นสัญญาถึงความปลอดภัยของเงินต้นและผลตอบแทนที่เพียงพอ” เรามาลองแยกส่วนประโยคนี้กันดูครับ

  • การดำเนินการ ไม่ใช่การเดา ไม่ใช่การพนัน มันคือการกระทำที่ผ่านการไตร่ตรองและมีเหตุผลมารองรับอย่างดี
  • การวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน คุณต้องทำการบ้านมาอย่างดี คุณรู้ว่าบริษัทนั้นทำอะไร หาเงินมาได้อย่างไร และมูลค่าที่แท้จริงของมันคือเท่าไหร่
  • ความปลอดภัยของเงินต้น คุณไม่ได้พยายามจะทำเงินให้เพิ่มเป็นสองเท่าในชั่วข้ามคืน แต่คุณกำลังพยายามปกป้องสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว
  • ผลตอบแทนที่เพียงพอ คุณไม่ได้ไล่ล่าผลกำไรมหาศาล แต่คุณตั้งเป้าไปที่การเติบโตที่สม่ำเสมอและสมเหตุสมผลในระยะยาว

ดังนั้น การลงทุนจึงเป็นเรื่องที่ช้า ๆ มั่นคง และปลอดภัย มันเหมือนกับการสร้างบ้านทีละก้อนอิฐ แล้วการเก็งกำไรล่ะคืออะไร?

ในทางกลับกัน การเก็งกำไรก็เหมือนกับการทอยลูกเต๋า มันคือการซื้ออะไรบางอย่างโดยหวังว่าราคาจะสูงขึ้น โดยที่ไม่รู้จริง ๆ ด้วยซ้ำว่าทำไมมันควรจะขึ้น

คนเรามักจะเก็งกำไรเมื่อพวกเขาซื้อหุ้นร้อนแรงเพราะใคร ๆ เขาก็ซื้อกัน, ทำตามกระแสในโซเชียลมีเดีย, พยายามจับจังหวะตลาด, หรือลงทุนโดยใช้ความรู้สึก ไม่ใช่ข้อเท็จจริง นักเก็งกำไรอาจจะชนะรางวัลใหญ่ แต่พวกเขาก็อาจจะขาดทุนย่อยยับได้ยิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ “เสียงเพลงหยุดลง” หรือก็คือเมื่อปาร์ตี้เลิกรา

เกรแฮมไม่ได้บอกว่าการเก็งกำไรเป็นสิ่งเลวร้าย อันที่จริงแล้ว การเก็งกำไรก็เป็นส่วนหนึ่งของตลาด แต่เขาเตือนว่าถ้าคุณไม่รู้ตัวว่ากำลังเก็งกำไรอยู่ นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของอันตรายที่แท้จริง

ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงล้มเหลวในการลงทุน

เกรแฮมบอกว่าคนส่วนใหญ่มักจะมีความคิดผสมปนเปกันระหว่างการลงทุนกับการเก็งกำไรโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอะไรคือการลงทุนและอะไรคือการเก็งกำไร

ลองนึกภาพชายคนหนึ่งที่ซื้อหุ้นราคา 100 บาท เพียงเพราะเพื่อนบอกว่ามันกำลังจะขึ้นไปที่ 200 บาท เขาไม่ได้ดูข้อมูลบริษัท ไม่รู้ว่าบริษัทขายอะไรหรือมีรายได้เท่าไหร่ หรือแม้กระทั่งไม่รู้ว่าบริษัทมีหนี้สินอยู่หรือไม่

ชายคนนั้นไม่ได้กำลังลงทุน เขาแค่กำลัง “เดา” เขาอาจจะโชคดีที่วันหนึ่งราคาหุ้นนั้นขึ้น แต่โชคนั้นอยู่ไม่นาน และโชคก็ไม่ได้เกิดกับการลงทุนทุกครั้ง นักลงทุนผู้ชาญฉลาดไม่ได้พึ่งพาความหวัง แต่พวกเขาพึ่งพาตรรกะและการค้นคว้าข้อมูล

ตลาดหุ้นคือเครื่องลงคะแนนเสียงในระยะสั้น

เกรแฮมกล่าวว่าในระยะสั้น ตลาดหุ้นก็เหมือน “เครื่องลงคะแนนเสียง” หุ้นยอดนิยมจะได้รับคะแนนโหวตมากกว่าและราคาก็สูงขึ้น แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้น ส่วนหุ้นที่ไม่เป็นที่นิยมก็จะถูกเมินเฉย แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งก็ตาม

แต่ในระยะยาว ตลาดจะกลายเป็น “เครื่องชั่งน้ำหนัก” มันจะชั่งมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท นั่นหมายความว่ากระแสความนิยมจะจางหายไป ข้อเท็จจริงจะเข้ามามีความสำคัญ และในที่สุดมูลค่าที่แท้จริงก็จะปรากฏออกมาเสมอ

การควบคุมอารมณ์ พลังพิเศษที่แท้จริง

พูดกันตามตรงเลยนะครับ นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะตื่นตระหนกเมื่อราคาตก และโลภเมื่อราคาสูงขึ้น แต่เกรแฮมกล่าวว่า “ปัญหาหลักและศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนักลงทุนก็คือตัวของเขาเองนั่นแหละ”

ใช่แล้วครับ ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของคุณไม่ใช่ตลาด แต่คืออารมณ์ของคุณเอง ความกลัวเมื่อตลาดลง, ความโลภเมื่อตลาดขึ้น, และความรู้สึกกลัวตกรถ (FOMO) เมื่อคนอื่นกำลังแห่กันซื้อ นักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะยังคงสงบนิ่ง พวกเขาจดจำความแตกต่างระหว่าง “ราคา” และ “มูลค่า” ได้เสมอ

เป้าหมายของนักลงทุนผู้ชาญฉลาด

เป้าหมายของคุณไม่ใช่การเอาชนะตลาดให้ได้ทุกปี และไม่ใช่การรวยทางลัดด้วยซ้ำ เป้าหมายที่แท้จริงของคุณคือการหลีกเลี่ยงการขาดทุนครั้งใหญ่, การสร้างความมั่งคั่งอย่างช้า ๆ, การปกป้องเงินของคุณ, และการคิดในระยะยาว หากคุณจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้แล้ว ผลตอบแทนจะตามมาเอง

ในตอนแรก บทนี้อาจจะดูไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่มันกลับเป็นหนึ่งในบทที่สำคัญที่สุดเลยครับ ทำไมน่ะหรือ? เพราะมันเกี่ยวกับ จอมโจรเงียบ โจรที่ไม่ได้บุกรุกเข้าไปในบ้านของคุณ แต่กลับย่องเข้ามาในบัญชีธนาคารของคุณแทน โจรที่ไม่ได้ฉกฉวยทุกอย่างไปในคราวเดียว แต่จะค่อย ๆ กัดกินมูลค่าเงินของคุณไปทีละน้อย โจรคนนั้นมีชื่อว่า เงินเฟ้อ นั่นเอง

เงินเฟ้อคืออะไร? เงินเฟ้อหมายความว่าราคาสิ่งของต่าง ๆ ที่คุณซื้อ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า น้ำมัน หรือค่าเล่าเรียน มันจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา ดังนั้น ถ้าวันนี้เงิน 100 บาทซื้อแอปเปิ้ลได้ 10 ลูก ปีหน้ามันอาจจะซื้อได้แค่ 8 ลูกเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องของการมีเงินน้อยลง แต่มันคือเรื่องที่เงินของคุณสามารถซื้อของได้น้อยลงกว่าเดิม

ทำไมมันถึงสำคัญต่อนักลงทุน

นี่คือปัญหาใหญ่เลยครับ คุณทำงานอย่างหนัก คุณเก็บออมเงิน และคุณฝากมันไว้ในธนาคารโดยคิดว่ามันปลอดภัยแล้ว แต่ถ้าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 5% และเงินฝากของคุณให้ผลตอบแทนเพียง 3% นั่นหมายความว่าคุณกำลังขาดทุนอยู่ทุกปี เบนจามิน เกรแฮม เรียกสิ่งนี้ว่า “การสูญเสียอำนาจซื้อ” มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มันคือเรื่องจริง และเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี มันจะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลเลยทีเดียว

พันธบัตรและเงินเฟ้อ ความสัมพันธ์ที่เสี่ยง

ในอดีต หลายคนเชื่อว่าพันธบัตร หรือการลงทุนที่ให้รายได้คงที่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในการเก็บเงิน เพราะมันให้ดอกเบี้ยคุณอย่างสม่ำเสมอและคุณจะได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด ฟังดูปลอดภัยใช่ไหมครับ? แต่เกรแฮมไม่เห็นด้วย เขาอธิบายว่าพันธบัตรนั้นรับมือกับเงินเฟ้อได้แย่มาก เพราะมันจ่ายผลตอบแทนเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนไม่ว่าราคาสินค้าจะพุ่งสูงขึ้นแค่ไหนก็ตาม รายได้ที่แท้จริงของคุณ หรือก็คือสิ่งที่คุณสามารถใช้เงินนั้นซื้อได้ มันจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา ลองนึกภาพการซื้อพันธบัตรที่จ่ายผลตอบแทนปีละ 10,000 ดอลลาร์สิครับ หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 6% ทุกปี เงิน 10,000 ดอลลาร์นั้นจะให้ความรู้สึกว่ามันมีค่าน้อยลงเรื่อย ๆ

หุ้น ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ทรงพลัง

แล้วอะไรล่ะที่ดีกว่าพันธบัตร? ก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง เกรแฮมอธิบายว่าหุ้นเป็นตัวแทนของธุรกิจที่จับต้องได้ และเมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น ธุรกิจส่วนใหญ่ก็จะปรับขึ้นราคาสินค้าตามไปด้วย ซึ่งหมายความว่ากำไรของพวกเขา และในที่สุดราคาหุ้นของพวกเขาก็มักจะเติบโตไปพร้อมกับเงินเฟ้อ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะปราศจากความเสี่ยงนะครับ ในระยะสั้น หุ้นอาจจะร่วงอย่างหนักได้ แต่ในระยะยาวแล้ว มันเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อที่ดีกว่าพันธบัตรหรือเงินสดมาก

ข้อพิสูจน์ทางประวัติศาสตร์

ตัวเลขได้บอกเล่าเรื่องราวของมันเอง เกรแฮมได้พิจารณาข้อมูลย้อนหลังหลายทศวรรษเพื่อแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่เงินเฟ้อสูงขึ้นตามกาลเวลา ค่าจ้างก็เพิ่มขึ้น กำไรของบริษัทก็เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นก็ยังคงเติบโตตามทัน ในทางตรงกันข้าม พันธบัตรและเงินออมกลับพ่ายแพ้ให้กับเงินเฟ้อ ดังนั้น แม้ว่าหุ้นจะมีความผันผวนมากกว่า แต่มันก็ทรงพลังกว่ามากเมื่อพูดถึงการรักษามูลค่าความมั่งคั่งของคุณ

ความคิดที่สมดุล

อย่าเมินเฉยต่อเงินเฟ้อ แต่ก็อย่าหมกมุ่นกับมันจนเกินไป ทีนี้แหละครับ คือจุดที่เกรแฮมได้แสดงถึงความหลักแหลมของเขาออกมา เขากล่าวว่า “ใช่ เงินเฟ้อเป็นสิ่งที่อันตราย แต่อย่าตื่นตระหนกหรือคาดเดาอัตราเงินเฟ้อในอนาคตอย่างมั่วซั่ว ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบหรอก” แต่ให้คุณยอมรับว่าเงินเฟ้อเป็นเรื่องจริง วางแผนรับมือกับมัน และสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยง ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้น, สินทรัพย์ที่จับต้องได้, และอาจจะมีพันธบัตรที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้ออย่าง TIPS ในสหรัฐอเมริกาด้วย

เอาล่ะครับ ลองนึกภาพตามนะครับ คุณกำลังจะออกเดินทางไกล คงจะฉลาดไม่น้อยเลยใช่ไหมถ้าเราจะกางแผนที่ดูกันก่อน? นั่นคือสิ่งที่เบนจามิน เกรแฮมทำในบทนี้เลยครับ

เขาจะพาเราเดินทางย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ 100 ปีของตลาดหุ้น ไม่ใช่เพื่อทำนายอนาคต แต่เพื่อให้เข้าใจว่าอะไรเป็นไปได้บ้างและควรหลีกเลี่ยงความผิดพลาดอะไร เพราะอย่างที่เขาว่ากันว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอยเดิมเป๊ะ ๆ แต่มันมักจะมีท่วงทำนองที่คล้ายคลึงกัน” เรามาเริ่มกันเลยครับ

ทำไมต้องมองย้อนไปในประวัติศาสตร์? เกรแฮมบอกว่าการจะเป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาดได้นั้น คุณต้องมีมุมมองในระยะยาว คนส่วนใหญ่เกินไปมักจะตัดสินใจโดยอิงจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วหรือปีที่แล้ว

แต่เมื่อคุณลองซูมภาพออกมาให้กว้างขึ้นเป็นหลาย ๆ ทศวรรษ คุณจะเริ่มเห็นรูปแบบบางอย่าง บทนี้จะพาไปดูผลตอบแทนของหุ้นในระยะยาว, การพังทลายและการฟื้นตัวของตลาด, รวมถึงพฤติกรรมของนักลงทุนในช่วงเวลาต่าง ๆ

ตัวเลขสำคัญ: อดีตบอกอะไรเราบ้าง

ตั้งแต่ปี 1900 ถึง 1970 หุ้นในสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 9% ต่อปี (รวมเงินปันผล) ในขณะเดียวกัน พันธบัตรให้ผลตอบแทนประมาณ 4% แต่เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้ครับ ผลตอบแทนเหล่านี้ไม่ได้ราบรื่นหรือมีการรับประกัน

มันมีทั้งช่วงสงคราม, ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่, ช่วงที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองและตกต่ำ, การล่มสลาย, และการฟื้นตัว ตัวอย่างเช่น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) ในช่วงทศวรรษ 1930, เศรษฐกิจที่เฟื่องฟูหลังสงครามในทศวรรษ 1950, และการดิ่งลงอย่างรุนแรงในปี 1970 ก่อนที่หนังสือเล่มนี้จะได้รับการปรับปรุงเนื้อหาพอดี

ถึงแม้ว่าตลาดจะเติบโตขึ้นตลอดศตวรรษ แต่ก็มีช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดที่ยาวนานเช่นกัน ระหว่างปี 1929 ถึง 1932 ราคาหุ้นร่วงลงเกือบ 90% แต่คนที่ยังคงถือมันไว้และลงทุนต่อไปก็ได้รับรางวัลตอบแทนในอีกหลายปีต่อมา

บทเรียนก็คือ อย่าคาดหวังว่าตลาดจะวิ่งขึ้นเป็นเส้นตรง เกรแฮมเตือนว่า “คนเรามักจะตอบสนองต่อผลงานล่าสุดเกินจริงไปหน่อย ถ้าตลาดเพิ่งจะขึ้น พวกเขาก็คิดว่ามันจะขึ้นไปตลอดกาล แต่ถ้ามันเพิ่งจะลง

พวกเขาก็จะตื่นตระหนกและเทขายทุกอย่าง” แต่ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของตลาดแสดงให้เห็นว่าตลาดคือ “รถไฟเหาะ” ไม่ใช่ “บันไดเลื่อน” หน้าที่ของคุณไม่ใช่การทำนายการหักเลี้ยวครั้งต่อไป แต่คือการรัดเข็มขัดให้แน่นและนั่งไปกับมันอย่างมีวินัย

ราคาหุ้นในช่วงต้นปี 1972: ตลาดสูงเกินไปหรือเปล่า?

ในการปรับปรุงหนังสือเล่มนี้ในปี 1972 เกรแฮมชี้ให้เห็นว่าราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก และอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ค่าเฉลี่ยอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E ratio) อยู่ที่ประมาณ 18 เท่า ซึ่งหมายความว่าผู้คนยอมจ่ายเงินถึง 18 บาทเพื่อให้ได้กำไรของบริษัทมาเพียง 1 บาท

เกรแฮมได้เตือนนักลงทุนว่า อย่าทึกทักเอาเองว่าราคาที่สูงอยู่แล้วจะยังคงสูงต่อไป อย่าคิดว่าผลตอบแทนล่าสุดจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ แต่ให้ถามตัวเองว่า ตลาดกำลังร้อนแรงเกินไปหรือไม่? ผู้คนกำลังตื่นเต้นกันเกินเหตุหรือเปล่า? คุณกำลังซื้อหุ้นโดยดูที่ “มูลค่า” หรือแค่ตาม “กระแส” กันแน่?

วัฏจักรขาขึ้นและขาลง: มันมาเป็นรอบเสมอ

เกรแฮมได้เน้นย้ำถึงรูปแบบสำคัญในประวัติศาสตร์ของตลาด นั่นคือ นักลงทุนจะตื่นเต้นในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น (Boom) ราคาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และผู้คนจะลืมเรื่องความเสี่ยงไปเสียสนิท จากนั้นก็จะตามมาด้วยช่วงขาลง (Bust) ความตื่นตระหนกจะแพร่กระจายออกไป ราคาจะดิ่งลงอย่างหนัก

นักลงทุนที่ฉลาดจะเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดตื่นตระหนก ไม่ใช่ในช่วงที่กำลังจัดงานเลี้ยงฉลองกันอยู่ วัฏจักรนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถ้าคุณสามารถสงบนิ่งได้ในขณะที่คนอื่นกำลังสติแตก คุณก็จะกลายเป็นผู้ได้เปรียบ

จะใช้ประวัติศาสตร์นี้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร

เกรแฮมไม่ได้กำลังให้คำพยากรณ์อนาคต แต่เขากำลังมอบ “กรอบความคิด” ให้กับคุณต่างหาก นี่คือวิธีที่คุณจะนำมันไปใช้

  • ตั้งความคาดหวังที่เป็นจริง อย่าไปหวังผลตอบแทน 50% ทุกปี
  • อย่าไล่ตามผลตอบแทนโดยอิงจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุด
  • เรียกร้อง “ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย” (Margin of Safety) ทุกครั้งที่ซื้อหุ้น
  • เตรียมสภาพจิตใจให้พร้อมสำหรับปีที่ย่ำแย่ เพราะมันจะมาถึงอย่างแน่นอน

ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า คนที่ยังคงลงทุนและใช้ความฉลาดอยู่เสมอจะลงเอยด้วยการที่มั่งคั่งกว่าคนที่กระโดดเข้าและออกจากตลาดตามอารมณ์ของตัวเอง

เอาล่ะครับ หลังจากที่เราได้เห็นทั้งขาขึ้นและขาลงของประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นตลอด 100 ปีที่ผ่านมา คำถามสำคัญก็คือ แล้วเราควรจะทำอย่างไรกับเงินของเราดีล่ะ? บทนี้จะพูดถึงเรื่องราวของนักลงทุนประเภทที่พิเศษมาก ๆ ประเภทหนึ่ง นั่นคือ นักลงทุนเชิงรับ (The Defensive Investor)

นักลงทุนเชิงรับคือใคร? เบนจามิน เกรแฮม กล่าวว่ามีนักลงทุนอยู่ 2 ประเภท คือ นักลงทุนเชิงรับ (Defensive) หรือแบบไม่ต้องการความยุ่งยาก (Passive) และนักลงทุนเชิงรุก (Enterprising) หรือแบบกระตือรือร้น (Active) ในบทนี้ เราจะเน้นไปที่ประเภทแรกกันก่อน นั่นคือนักลงทุนเชิงรับ คุณคือนักลงทุนเชิงรับ ถ้าหากว่า:

  • คุณไม่อยากใช้เวลามากมายไปกับการบริหารเงินของคุณ
  • คุณพอใจกับผลตอบแทนในระดับปานกลาง
  • คุณให้ความสำคัญกับความสบายใจมากกว่าการไล่ล่าผลกำไรสูง ๆ
  • คุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ้น และก็ไม่ได้อยากจะเป็นด้วย
  • และทายสิครับว่าอะไร? คนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละครับ

เป้าหมายของนักลงทุนเชิงรับ

เกรแฮมบอกว่านักลงทุนเชิงรับมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก ๆ นั่นก็คือ เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดและการขาดทุนที่ร้ายแรง พวกเขาไม่ได้พยายามที่จะเอาชนะตลาด แต่พวกเขาแค่ต้องการการเติบโตที่มั่นคง, ความเครียดต่ำ, และการนอนหลับได้อย่างสนิทใจในตอนกลางคืน

ในพอร์ตของคุณควรมีอะไรบ้าง?

และนี่คือคำแนะนำที่สำคัญที่สุดของบทนี้ครับ เกรแฮมกล่าวว่านักลงทุนเชิงรับควรมีสินทรัพย์ 2 ประเภทหลักผสมกันอยู่ในพอร์ตเสมอ:

  • พันธบัตรคุณภาพสูงหรือพันธบัตรรัฐบาล
  • หุ้นสามัญ หรือก็คือหุ้นของบริษัทที่แข็งแกร่ง

และนี่คือกฎทองคำเลยครับ: รักษาสมดุลระหว่าง 25% ถึง 75% ในแต่ละประเภทสินทรัพย์ โดยปกติแล้วสัดส่วน 50% หุ้น และ 50% พันธบัตรถือว่าเหมาะที่สุด แต่เกรแฮมก็ให้ความยืดหยุ่นไว้ ถ้าคุณรู้สึกว่าหุ้นเสี่ยงเกินไป ก็ให้ถือหุ้น 25% และพันธบัตร 75%

แต่ถ้าหุ้นกำลังราคาถูกและคุณรับความเสี่ยงได้บ้าง ก็ให้ถือหุ้น 75% และพันธบัตร 25% เพียงแต่อย่าทุ่มสุดตัวไปกับสินทรัพย์ประเภทเดียวเด็ดขาด นั่นคือการพนัน ไม่ใช่การลงทุน

ทำไมความสมดุลนี้ถึงสำคัญ?

สมมติว่าตลาดหุ้นร่วงอย่างหนัก ถ้าคุณมีสินทรัพย์ 50% อยู่ในพันธบัตร มันก็จะช่วยปกป้องคุณไว้ แต่ถ้าตลาดหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนของหุ้น 50% ของคุณก็จะเติบโตไปพร้อมกับตลาด แนวทางที่สมดุลนี้จะช่วยลดความตื่นตระหนกทางอารมณ์, ทำให้ความผันผวนรุนแรงขึ้นลงนั้นราบรื่นขึ้น, และช่วยรักษาเป้าหมายระยะยาวของคุณให้ปลอดภัย

แม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังเคยกล่าวไว้ว่า “กฎข้อที่หนึ่ง อย่าขาดทุน กฎข้อที่สอง อย่าลืมกฎข้อที่หนึ่ง” นี่แหละครับคือหัวใจในกรอบความคิดของนักลงทุนเชิงรับ

อะไรที่ทำให้หุ้นปลอดภัย?

คุณไม่สามารถแค่เลือกหุ้นตัวไหนก็ได้แล้วบอกว่าตัวเองปลอดภัยแล้วนะครับ เกรแฮมกล่าวว่านักลงทุนเชิงรับควรซื้อหุ้นของบริษัทที่มีคุณสมบัติดังนี้เท่านั้น:

  • เป็นบริษัทขนาดใหญ่และเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
  • มีประวัติผลประกอบการที่มั่นคงมาอย่างยาวนาน (อย่างน้อย 10 ปี)
  • จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
  • มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง, มีหนี้สินต่ำ
  • และไม่ได้มีราคาที่สูงเกินไป

พูดสั้น ๆ ก็คือ ให้ยึดติดกับผู้ชนะที่อาจจะดูน่าเบื่อแต่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว ลองนึกถึงบริษัทอย่าง Coca-Cola, Unilever, หรือ Johnson & Johnson ไม่ใช่บริษัทสตาร์ทอัพเปิดใหม่ที่กำลังเป็นกระแส

คุณควรทบทวนพอร์ตของคุณบ่อยแค่ไหน?

เกรแฮมบอกว่า “ไม่ต้องบ่อยเกินไปครับ ปีละครั้งหรือสองครั้งก็เพียงพอแล้วสำหรับคนส่วนใหญ่” เป้าหมายคือการปรับสมดุลพอร์ตของคุณ ทำให้มันกลับมาอยู่ที่สัดส่วน 50/50 หากมันเบี่ยงเบนไป และแทนที่การลงทุนใด ๆ ที่ไม่ตรงตามเกณฑ์อีกต่อไป อย่าไปตอบสนองกับทุกพาดหัวข่าวหรือทุกครั้งที่ตลาดปรับตัวลง ตลาดมีขึ้นมีลง แต่แผนของคุณต้องยังคงแข็งแกร่ง

ข้อผิดพลาดที่นักลงทุนเชิงรับควรหลีกเลี่ยง

  • การพยายามจับจังหวะตลาด: อย่าเดาว่าจะซื้อหรือขายเมื่อไหร่ ให้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
  • การไล่ตามหุ้นร้อนหรือหุ้นเด็ดตามคำบอกเล่า: เพียงเพราะทุกคนกำลังซื้อ ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด
  • การอนุรักษนิยมเกินไปหรือก้าวร้าวเกินไป: อย่าใส่เงินทั้งหมดไว้ในพันธบัตรหรือในหุ้นทั้งหมด ให้ยึดมั่นในความสมดุล
  • การตื่นตระหนกในช่วงที่ตลาดพัง: นักลงทุนเชิงรับเตรียมตัวรับมือกับตลาดขาลงไว้ล่วงหน้าแล้ว ด้วยการมีพันธบัตรและมีวินัย

จากบทที่แล้ว เราได้เข้าใจกันแล้วว่านักลงทุนเชิงรับควรมีหุ้นสามัญอยู่บ้าง แต่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งว่าจะซื้ออย่างไรและซื้อหุ้นประเภทไหน เอาล่ะครับ ตอนนี้เรามาลงลึกกันดีกว่าว่าจะนำกฎเกณฑ์เหล่านี้ไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร

เกณฑ์ของเกรแฮม: คู่มือเลือกหุ้นทีละขั้นตอนสำหรับนักลงทุนเชิงรับ

เบนจามิน เกรแฮม ได้วางกฎเกณฑ์ไว้ 6 ข้อที่จะช่วยให้นักลงทุนเชิงรับสามารถเลือกหุ้นที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยได้ เรามาดูรายละเอียดแต่ละข้อกันเลยครับ

  • หนึ่ง ขนาดของบริษัทที่เพียงพอ: เกรแฮมแนะนำให้ลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ ไม่ใช่สตาร์ทอัพเล็ก ๆ ทำไมน่ะหรือ? เพราะบริษัทขนาดใหญ่มักจะมีความมั่นคงมากกว่าและมีโอกาสล้มละลายน้อยกว่า เพื่อเป็นการคัดกรองเบื้องต้น บริษัทควรมีายอดขายต่อปีอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์ และเมื่อคิดในยุคปัจจุบัน ตัวเลขนี้ควรจะสูงกว่านี้อีกมากเนื่องจากเงินเฟ้อ พูดง่าย ๆ ก็คือ อย่าไปซื้อหุ้นของบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อ ให้ยึดติดกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองมาแล้ว
  • สอง สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: บริษัทควรมีสินทรัพย์หมุนเวียน (เงินสด, สินค้าคงคลัง, ลูกหนี้การค้า) ในปริมาณที่มาก และมีหนี้สินระยะยาวในระดับต่ำ เกรแฮมแนะนำวิธีทดสอบง่าย ๆ คือ สินทรัพย์หมุนเวียนของบริษัทควรมีค่าอย่างน้อยสองเท่าของหนี้สินหมุนเวียน และหนี้สินระยะยาวควรน้อยกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น ทำไมล่ะ? เพราะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก บริษัทที่มีสุขภาพการเงินดีจะอยู่รอดได้ ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ อาจล้มครืนลง
  • สาม ความมีเสถียรภาพของกำไร: บริษัทควรมีกำไรเป็นบวกในแต่ละปีตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ทำกำไรได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจรุ่งเรือง แต่ต้องมีกำไรที่สม่ำเสมอแม้แต่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยด้วย สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับพายุในตลาดได้ หากกำไรของบริษัทหายไปในช่วงขาลงบ่อย ๆ นั่นคือสัญญาณอันตราย
  • สี่ ประวัติการจ่ายเงินปันผล: บริษัทควรจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอนเป็นเวลาอย่างน้อย 20 ปี ทำไมสิ่งนี้ถึงสำคัญ? เพราะการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอแสดงให้เห็นถึงผลกำไรที่ต่อเนื่อง, ทีมผู้บริหารที่เคารพผู้ถือหุ้น, และรูปแบบธุรกิจที่มีเสถียรภาพ ให้หลีกเลี่ยงบริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผลเลยหรือเพิ่งจะเริ่มจ่ายได้ไม่นาน
  • ห้า การเติบโตของกำไร: ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา กำไรต่อหุ้นของบริษัทควรเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ใน 3 ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเติบโตที่รวดเร็ว แต่หมายถึงการเคลื่อนไหวขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจกำลังขยายตัว แม้ว่าจะช้าก็ตาม
  • หก อัตราส่วนราคาที่ไม่สูงเกินไป: เกรแฮมได้กำหนดขีดจำกัดที่ชัดเจนว่าคุณควรจ่ายเงินเท่าไหร่ อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E ratio) ควรอยู่ที่ 15 หรือน้อยกว่า ซึ่งหมายความว่าราคาหุ้นไม่ควรเกิน 15 เท่าของกำไรเฉลี่ยของบริษัท อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/B ratio) ควรอยู่ที่ 1.5 หรือน้อยกว่า ซึ่งหมายความว่าราคาหุ้นไม่ควรเกิน 1.5 เท่าของมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท และถ้าคุณนำค่า PE คูณกับ PB ผลลัพธ์ที่ได้ควรต่ำกว่า 22.5 ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทมี PE ที่ 10 และ PB ที่ 2 เมื่อคูณกันจะได้ 20 (10 x 2) แบบนี้ถือว่าดี แต่ถ้ามี PE ที่ 30 และ PB ที่ 1.5 ผลคูณจะได้ 45 ซึ่งแพงเกินไป

การนำทุกอย่างมารวมกัน: กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ

นี่คือวิธีที่นักลงทุนเชิงรับสามารถสร้างแผนการลงทุนที่แข็งแกร่งและเรียบง่ายได้

  • แบ่งเงินของคุณ 50% ในพันธบัตร และ 50% ในหุ้น หรือปรับสัดส่วนตามสภาวะตลาด
  • สำหรับส่วนของหุ้น คุณสามารถเลือกซื้อกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ เช่น S&P 500 หรือ Nifty 50 หรือเลือกหุ้น 15-30 ตัวที่ตรงตามเกณฑ์ทั้งหกข้อของเกรแฮม
  • ปรับพอร์ตปีละครั้งหรือสองครั้ง

แค่นั้นเองครับ หลีกเลี่ยงการเช็คราคาทุกวัน แล้วปล่อยให้แผนการทำงานของมันไปเงียบ ๆ อยู่เบื้องหลัง

แต่ถ้าตลาดพังล่ะ? เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ เกรแฮมบอกว่า “มันไม่สำคัญเลย” ถ้าคุณได้เลือกบริษัทที่แข็งแกร่งมาแล้ว คุณก็ควรจะถือมันไว้ หรือแม้กระทั่งซื้อเพิ่มเมื่อราคาต่ำลง นี่แหละครับคือความงดงามของการเป็นนักลงทุนเชิงรับ คุณจะไม่ตื่นตระหนก คุณไม่ได้พยายามจะทำนายอนาคตในวันพรุ่งนี้ แต่คุณกำลังสร้างความมั่งคั่งอย่างช้า ๆ ปลอดภัย และมั่นคง

ลองนึกภาพว่าคุณเป็นนักลงทุนที่ไม่ได้อยากจะแค่นั่งรอเฉย ๆ เหมือนนักลงทุนเชิงรับ แต่คุณต้องการที่จะทำงานหนักขึ้นอีกนิดเพื่อแลกกับผลตอบแทนที่ดีขึ้น บทนี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อนักลงทุนเชิงรุกเช่นคุณเลยครับ

แต่เบนจามิน เกรแฮม เริ่มต้นด้วยคำเตือนก่อนเลยว่า แค่เพราะว่าคุณกระตือรือร้นมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะเสี่ยงโดยไม่จำเป็น อันที่จริงแล้ว การเป็นนักลงทุนเชิงรุกไม่ได้หมายถึงการไล่ตามหุ้นที่กำลังเป็นกระแสทุกตัว แต่มันหมายถึงการเป็นคนที่ช่างเลือก, มีวินัย, และรู้จักหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่เกิดจากกระแสหรือความตื่นเต้น เรามาค่อย ๆ ดูรายละเอียดกันแบบง่าย ๆ นะครับ

สิ่งที่ไม่ควรทำ: แนวทางเชิงลบ

เกรแฮมเปิดบทนี้ด้วยการบอกให้นักลงทุนเชิงรุกกำจัดนิสัยที่ไม่ดีและกลยุทธ์ที่ย่ำแย่ออกไปก่อนเป็นอันดับแรก เพราะหากคุณสามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้ คุณก็ชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง นี่คือข้อห้ามใหญ่ ๆ สำหรับนักลงทุนเชิงรุกครับ

  • หนึ่ง อย่าลงทุนในบริษัทเปิดใหม่หรือบริษัทที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์: มันอาจจะดูน่าตื่นเต้นที่ได้เข้าไปลงทุนในบริษัทใหม่เอี่ยมตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ธุรกิจใหม่ส่วนใหญ่นั้นล้มเหลว เกรแฮมกล่าวว่า อย่าเอาเงินของคุณไปเสี่ยงกับความฝัน คุณควรลงทุนในความเป็นจริง ไม่ใช่จินตนาการ ความหวังไม่ใช่กลยุทธ์
  • สอง หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่กำลังร้อนแรง: ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เทคโนโลยีกำลังบูม, AI, คริปโต, หรือเทคโนโลยีชีวภาพ แน่นอนว่ามันฟังดูน่าตื่นเต้น แต่เกรแฮมเตือนว่าอย่าลงทุนเพียงเพราะอะไรบางอย่างกำลังเป็นที่นิยม เมื่อไหร่ก็ตามที่ทุกคนกำลังพูดถึงมัน โอกาสที่มันจะมีราคาสูงเกินมูลค่าจริงก็มีมาก มันก็เหมือนกับการซื้อตั๋วคอนเสิร์ตตอนที่ศิลปินขึ้นเวทีไปแล้ว คุณจะต้องจ่ายแพงเกินไปและได้ที่นั่งที่ไม่ดี
  • สาม อย่าซื้อหุ้นที่ไม่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: หากบริษัทไม่สามารถทำกำไรได้, มีหนี้สินมากเกินไป, หรือมีผลประกอบการที่ผันผวนอย่างรุนแรง ก็ควรอยู่ให้ห่าง แม้ว่าเรื่องราวของบริษัทจะฟังดูดีแค่ไหน แต่ตัวเลขจะต้องสนับสนุนเรื่องราวนั้นด้วย เกรแฮมกล่าวว่า “จงให้ความสำคัญกับกำไร, สินทรัพย์, และประวัติที่ผ่านมา ไม่ใช่กระแสหรือคำทำนาย”
  • สี่ หลีกเลี่ยงหุ้น IPO (Initial Public Offerings): เมื่อบริษัทเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก ความตื่นเต้นมักจะนำไปสู่ราคาที่สูงเกินจริง เกรแฮมแนะนำให้รอจนกว่าบริษัทจะพิสูจน์ตัวเอง течениеระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะพิจารณาลงทุน ลองนึกภาพว่ามันเหมือนการคบหาดูใจกับคนใหม่ ๆ คุณต้องทำความรู้จักพวกเขาก่อนที่จะตัดสินใจผูกมัดไปตลอดชีวิต
  • ห้า อย่าพึ่งพาคำพยากรณ์หรือคำทำนาย: ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตของตลาดหุ้นได้ แม้แต่นักวิเคราะห์ที่ฉลาดที่สุดก็ตาม เกรแฮมกระตุ้นให้คุณตัดสินใจโดยอิงจากข้อเท็จจริง ไม่ใช่การคาดเดา อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน จงมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่คุณควบคุมได้ นั่นคือ ราคาและมูลค่า

หลักการสำคัญ: ป้องกันก่อนค่อยทำกำไร

แนวทางของเกรแฮมนั้นให้ความสำคัญกับการรักษาเงินทุนอยู่เสมอ ปรัชญาของเขานั้นเรียบง่ายมาก: ทำให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ขาดทุน แล้วค่อยไปกังวลว่าจะทำกำไรได้เท่าไหร่ แนวทางเชิงลบนี้คือการกรองตัวเลือกที่ไม่ดีออกไป เมื่อคุณกำจัดมันออกไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือกลุ่มโอกาสการลงทุนที่ปลอดภัยและแข็งแกร่งซึ่งมีขนาดเล็กลง

การเป็นนักลงทุนเชิงรุกไม่ได้หมายความว่าเป็นการพนัน เกรแฮมไม่ได้ต่อต้านการทำงานหนักเพื่อผลตอบแทนที่ดีขึ้น แต่เขาต้องการให้คุณทำงานอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่ทำงานอย่างบ้าคลั่ง การเป็นนักลงทุนเชิงรุกหมายถึงการศึกษาธุรกิจอย่างลึกซึ้ง, การตรวจสอบงบดุล, การทำความเข้าใจแนวโน้มระยะยาว, และการเปรียบเทียบบริษัทต่าง ๆ อย่างรอบคอบ มันเหมือนกับการเป็นนักสืบมากกว่านักพนัน

ข้อคิดที่ได้จากบทนี้

นักลงทุนที่ดีจะรู้ว่าควรหลีกเลี่ยงอะไรพอ ๆ กับที่รู้ว่าควรจะเลือกอะไร บทนี้จะฝึกสายตาของคุณให้มองเห็นกับดักในตลาด การหลีกเลี่ยงการลงทุนที่ย่ำแย่คือก้าวแรกของการเป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาด

จากบทที่แล้ว เบนจามิน เกรแฮม ได้พูดถึงสิ่งที่นักลงทุนเชิงรุกควรหลีกเลี่ยงไปแล้วนะครับ ตอนนี้ ในบทที่ 7 เขาจะมาพลิกอีกด้านของเหรียญและพูดถึงสิ่งที่พวกเขาควรลงมือทำจริง ๆ หรือก็คือด้านบวกนั่นเอง หากคุณเป็นคนที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด บทนี้คือคู่มือสำหรับคุณเลยครับ เรามาดูรายละเอียดแบบง่าย ๆ กัน

นักลงทุนเชิงรุกคือใคร? คือคนที่มีคุณสมบัติดังนี้:

  • เต็มใจที่จะใช้เวลาและความพยายามมากขึ้นในการค้นคว้าข้อมูลการลงทุน
  • ยอมรับความเสี่ยงได้บ้างเพื่อเป้าหมายผลตอบแทนที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย
  • ไม่ตามตลาดหรือกระแสร้อนแรงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า

เกรแฮมพูดไว้อย่างชัดเจนว่า วินัย, ความอดทน, และการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลคือกุญแจสำคัญ คุณไม่สามารถแค่ไล่ตามความตื่นเต้นแล้วคาดหวังว่าจะได้กำไรในระยะยาวได้

กลยุทธ์หลักสำหรับนักลงทุนเชิงรุก

นี่คือ 5 กลยุทธ์อันชาญฉลาดที่เกรแฮมแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเดินในเส้นทางการลงทุนที่ต้องลงมือทำมากขึ้น

  • หนึ่ง การซื้อหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่า (Bargain Issues): นี่คือกลยุทธ์โปรดของเกรแฮมเลยครับ มันคือหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันมาก ๆ ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีสินทรัพย์มูลค่า 100 ดอลลาร์ต่อหุ้น แต่กลับขายกันในราคาแค่ 50 ดอลลาร์ หุ้นเหล่านี้มักจะถูกฝูงชนมองข้ามและอาจกำลังประสบปัญหาในระยะสั้น แต่พื้นฐานของมันยังคงแข็งแกร่ง กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยการค้นคว้าข้อมูลอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามหาศาล ลองนึกภาพว่าคุณกำลังซื้อเหรียญ 1 ดอลลาร์ในราคาแค่ 50 เซ็นต์สิครับ
  • สอง สถานการณ์พิเศษ (Special Situations) และการปรับโครงสร้าง (Workouts): นี่คือโอกาสที่มาในรูปแบบของการควบรวมกิจการ, การชำระบัญชี, การปรับโครงสร้าง, หรือการแยกบริษัทลูก (Spin-offs) เป้าหมายคือการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นตามเหตุการณ์เหล่านี้ ตัวอย่างเช่น หากบริษัทประกาศควบรวมกิจการและราคาหุ้นของมันยังต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น คุณก็อาจทำกำไรได้เมื่อการควบรวมเสร็จสมบูรณ์ กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความรู้และความใส่ใจในรายละเอียดสูงมาก
  • สาม การลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่ไม่เป็นที่นิยม: เกรแฮมแนะนำให้มองหาบริษัทใหญ่ ๆ ที่หมดความนิยมไปแล้ว ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีกำไรต่ำหรือมีข่าวไม่ดี ฝูงชนมักจะเมินเฉยต่อบริษัทเหล่านี้ ราคาหุ้นจึงตกลงมา แต่มูลค่าที่แท้จริงของมันอาจจะยังคงแข็งแกร่งอยู่ หุ้นเหล่านี้เปรียบเสมือน “ยักษ์หลับ” ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกมันฟื้นตัวกลับมาได้ ผลตอบแทนที่ได้ก็จะมหาศาล กลยุทธ์ก็คือ: จงเป็นนักลงทุนที่คิดสวนทางกับคนอื่น (Contrarian) ซื้อในสิ่งที่คนอื่นกำลังหลีกเลี่ยง หากมันยังมีศักยภาพ
  • สี่ การซื้อหุ้น Net-Net: ในปัจจุบันอาจจะหายากมาก แต่เกรแฮมเคยใช้กลยุทธ์นี้บ่อยครั้ง มันคือบริษัทที่เงินสดและสินทรัพย์สภาพคล่องเพียงอย่างเดียวก็มีมูลค่ามากกว่าราคาตลาดแล้ว มันเหมือนกับการซื้อบริษัทมาฟรี ๆ แล้วได้สินทรัพย์และธุรกิจเป็นของแถม เกรแฮมพบผลตอบแทนมหาศาลจากหุ้นประเภทนี้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และช่วงหลังสงคราม เคล็ดลับคือ: กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์งบดุลอย่างละเอียดถี่ถ้วน
  • ห้า การลงทุนในหุ้นเติบโตอย่างชาญฉลาด: เกรแฮมเตือนว่าอย่าไล่ตามหุ้นเติบโตอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เขาก็ยอมรับว่าหากผ่านการวิเคราะห์อย่างเข้มงวดแล้ว คุณก็สามารถค้นหาบริษัทเติบโตที่ไม่แพงเกินไป, มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง, และมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยที่ดีได้ กฎก็คือ: การเติบโตเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต่อเมื่อมันมาในราคาที่เหมาะสมเท่านั้น

คำแนะนำสำคัญจากเกรแฮม

  • จับตาดูเรื่องการประเมินมูลค่าอยู่เสมอ: แค่เพราะหุ้นราคาถูก ไม่ได้หมายความว่ามันดีเสมอไป และแค่เพราะมันกำลังเติบโต ก็ไม่ได้หมายความว่ามันปลอดภัย
  • ใช้เครื่องมือเหล่านี้: อัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE ratio), ระดับหนี้สิน, มูลค่าสินทรัพย์, ความมีเสถียรภาพของกำไรในอดีต, และการเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • ด้านอารมณ์: แม้จะเป็นนักลงทุนเชิงรุก เกรแฮมก็ยังย้ำเตือนเราว่า อย่าตามกระแสหรือตื่นตระหนกในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง จงใช้เหตุผลในขณะที่คนอื่นใช้อารมณ์ และมีกรอบความคิดแบบระยะยาวอยู่เสมอ
    จำไว้ว่า ศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนักลงทุนไม่ใช่ตลาด แต่คืออารมณ์ของคุณเอง

ลองนึกภาพว่าคุณอยู่ในสวนสนุกสิครับ คุณซื้อตั๋วรถไฟเหาะ ไม่ใช่เพราะคุณชอบตอนที่มันทิ้งดิ่งลงมาจนท้องไส้ปั่นป่วน แต่เป็นเพราะคุณเชื่อมั่นว่าเครื่องเล่นนี้จะพาคุณกลับมาอย่างปลอดภัย นั่นคือวิธีที่เบนจามิน เกรแฮม อยากให้คุณคิดเกี่ยวกับตลาดหุ้นครับ มันจะขึ้น ๆ ลง ๆ แต่อย่าไปกรีดร้องทุกครั้งที่มันดิ่งลง

ทำความเข้าใจความผันผวนของตลาด

ตลาดนั้นมีอารมณ์ บางครั้งมันก็ตื่นเต้นสุดขีด (ตลาดกระทิง) และบางครั้งก็หดหู่ซึมเศร้าอย่างหนัก (ตลาดหมี) ราคาขึ้นลง ไม่ได้เป็นเพราะผลประกอบการของบริษัทเสมอไป แต่บ่อยครั้งที่เป็นเพราะจิตวิทยาของนักลงทุน ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติ

เกรแฮมได้แนะนำอุปมาอุปไมยที่ทรงพลังมาก ๆ นั่นคือ มิสเตอร์มาร์เก็ต (Mr. Market) ลองจินตนาการว่าตลาดหุ้นคือหุ้นส่วนธุรกิจของคุณคนหนึ่งที่เสนอซื้อหรือขายหุ้นของเขาให้คุณทุกวัน บางวันเขาก็อารมณ์ดีสุดขีดและเสนอราคาสูงลิ่ว แต่วันอื่น ๆ เขาก็ซึมเศร้าและเสนอราคาถูกเหมือนได้เปล่า

นักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะไม่ยอมให้อารมณ์ของมิสเตอร์มาร์เก็ตมาควบคุมพวกเขา แต่พวกเขาจะใช้อารมณ์ที่แปรปรวนของเขาให้เป็นประโยชน์

หน้าที่ของคุณในฐานะนักลงทุนผู้ชาญฉลาด

  • อย่าตอบสนองด้วยอารมณ์ อย่าเทขายเมื่อราคาตกเพราะความกลัว และอย่าซื้อเพียงเพราะคนอื่นกำลังคึกคัก
  • จงใช้เหตุผล
  • ใช้ความผันผวนของตลาดให้เป็นประโยชน์ เมื่อหุ้นมีราคาสูงเกินไป ก็ขายออกไปบ้าง เมื่อราคาต่ำเกินไป ก็พิจารณาซื้อเพิ่ม
  • หลีกเลี่ยงการจับจังหวะตลาด การพยายามเดาจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดก็เหมือนกับการพยายามจับสายฟ้า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ให้ฝึกฝนวินัยและความสม่ำเสมอแทน

วิธีรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของราคา

  • แนวทางที่ไม่ดี: “โอ้ ไม่นะ หุ้นของฉันลงไป 10% แล้ว ฉันควรขายดีไหม?”
  • แนวทางที่ดี: “ตอนนี้หุ้นถูกลงแล้วนี่นา งั้นลองประเมินดูดีกว่าว่าควรซื้อเพิ่มไหม”

ความผันผวนของตลาดจะมีความหมายก็ต่อเมื่อคุณวางแผนที่จะขายเท่านั้น ถ้าคุณลงทุนในระยะยาว การเคลื่อนไหวในระยะสั้นก็เป็นเพียงแค่ “เสียงรบกวน” (noise)

คำแนะนำดั่งทองคำของเกรแฮม

คุณไม่ได้ถูกหรือผิดเพราะคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับคุณ คุณถูกเพราะข้อเท็จจริงและเหตุผลของคุณนั้นถูกต้อง นั่นหมายความว่าจงยึดมั่นในข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความรู้สึก

เครื่องมือสำหรับนักลงทุนผู้ชาญฉลาด

  • การถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging): ลงทุนด้วยจำนวนเงินคงที่อย่างสม่ำเสมอ คุณจะซื้อได้มากขึ้นเมื่อราคาต่ำ และซื้อได้น้อยลงเมื่อราคาสูง
  • ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety): สร้างกันชนไว้เสมอด้วยการซื้อสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า ดังนั้นแม้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะผิดพลาดไป คุณก็ยังคงได้รับการปกป้อง
  • มูลค่าที่แท้จริง ปะทะ ราคาตลาด: จงมุ่งเน้นไปที่มูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ไม่ใช่สิ่งที่ตลาดบอกว่ามันมีค่าในวันนี้

ข้อคิดสุดท้าย ตลาดก็เปรียบเสมือนสภาพอากาศ ที่คาดเดาไม่ได้และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ชาวนาที่ฉลาดจะไม่ร้องไห้ทุกครั้งที่ฝนตกหรือหิมะถล่ม เขาจะปรับตัว, อดทน, และรอคอยการเก็บเกี่ยว คุณก็ควรทำเช่นเดียวกันครับ จงเป็นนักลงทุนที่สงบนิ่งและชาญฉลาด ปล่อยให้คนอื่น ๆ นั่งรถไฟเหาะแห่งอารมณ์ไป ส่วนคุณ… ก็แค่มีความสุขไปกับสวนสนุกแห่งนี้

ยินดีต้อนรับสู่บทที่เก้าครับ ที่นี่เบนจามิน เกรแฮมจะมาตอบคำถามที่นักลงทุนหลายคน โดยเฉพาะมือใหม่ มักจะถามกันบ่อย ๆ ว่า “ฉันควรลงทุนในกองทุนรวมหรือลงทุนด้วยตัวเองดี?” เรามาลงลึกในรายละเอียดกันเลยครับ

กองทุนรวมคืออะไร?

กองทุนรวมคือการรวบรวมเงินจากนักลงทุนหลาย ๆ คน จากนั้นจะมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงไปในหุ้น, พันธบัตร, หรือทั้งสองอย่าง มองเผิน ๆ แล้ว มันดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบสำหรับคนที่ไม่ต้องการค้นคว้าข้อมูลหุ้นด้วยตัวเอง แต่เกรแฮมอยากให้คุณมองให้ลึกกว่านั้นก่อนที่จะไว้วางใจนำเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงไปให้พวกเขา

สิ่งที่นักลงทุนผู้ชาญฉลาดควรถามก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม

  • กองทุนนี้มีผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?
  • ผู้จัดการกองทุนมีความสม่ำเสมอและมีวินัย หรือแค่ไล่ตามกระแส?
  • ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บนั้นสมเหตุสมผลกับผลการดำเนินงานหรือไม่?

ความเชื่อผิด ๆ: ผู้จัดการมืออาชีพเอาชนะตลาดได้เสมอ

งานวิจัยของเกรแฮมแสดงให้เห็นว่าผู้จัดการกองทุนรวมส่วนใหญ่ ไม่สามารถ เอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ อันที่จริงแล้ว หลายกองทุนทำผลงานได้ต่ำกว่าเกณฑ์ด้วยซ้ำเมื่อรวมค่าธรรมเนียม, ภาษี, และค่าใช้จ่ายในการซื้อขายเข้าไปแล้ว ทำไมน่ะหรือ? เพราะผู้จัดการมักจะไล่ตามหุ้นที่กำลังร้อนแรง, พวกเขาอาจทำตามอารมณ์หรือตอบสนองต่อเสียงรบกวนในระยะสั้น, และกองทุนจำนวนมากก็มีขนาดใหญ่เกินไป ทำให้การเข้าออกหุ้นทำได้ไม่คล่องตัว

ค่าธรรมเนียมกัดกินผลกำไรของคุณ

สมมติว่าคุณลงทุน 100,000 ดอลลาร์ในกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ 10% ต่อปี แต่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการ 2% นั่นหมายความว่าจริง ๆ แล้วคุณได้ผลตอบแทนเพียง 8% ในขณะที่ผู้จัดการกองทุนเก็บไป 2% ทุกปี ตลอดระยะเวลา 20-30 ปี ส่วนต่างนี้อาจทำให้คุณสูญเสียผลตอบแทนไปเป็นหลักแสนหรือหลักล้านเลยทีเดียว คำแนะนำของเกรแฮมคือ ให้หลีกเลี่ยงกองทุนที่มีการบริหารจัดการเชิงรุกและเก็บค่าธรรมเนียมสูง เว้นแต่ว่าผลงานในระยะยาวของพวกเขาจะพิสูจน์ได้ว่าคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายนั้นจริง ๆ

ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่: กองทุนดัชนี

เกรแฮมเป็นคนที่มองการณ์ไกล เขาย้ำอย่างหนักแน่นว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่คือการลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีการจัดการเชิงรับและมีต้นทุนต่ำ กองทุนเหล่านี้เพียงแค่ลงทุนล้อไปตามดัชนีตลาดหุ้น เช่น S&P 500 หรือ NIFTY50 ไม่มีการคาดเดา ไม่ตามกระแส และไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ข้อดีของมันคือ:

  • ค่าธรรมเนียมต่ำมาก
  • มีการกระจายความเสี่ยงในวงกว้าง
  • เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ

ในอดีตที่ผ่านมา กองทุนดัชนีสามารถเอาชนะกองทุนรวมเชิงรุกได้ถึง 80-90% ในระยะยาว แม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ลูกศิษย์ที่โด่งดังที่สุดของเกรแฮม ก็ยังแนะนำกองทุนดัชนีให้กับนักลงทุนส่วนใหญ่

แล้วเมื่อไหร่ล่ะที่กองทุนเชิงรุกอาจจะดูสมเหตุสมผล? เกรแฮมบอกว่าคุณสามารถลงทุนในกองทุนรวมเชิงรุกได้ ถ้าหากว่า:

  • กองทุนนั้นทำผลงานได้ดีกว่าตลาดอย่างสม่ำเสมอมานานหลายปี
  • ผู้จัดการกองทุนมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและทำซ้ำได้
  • ค่าธรรมเนียมสมเหตุสมผล
  • คุณเข้าใจว่ากองทุนกำลังทำอะไรและเชื่อมั่นในวินัยของพวกเขา

ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงย้ำให้ระมัดระวัง เพราะผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องการันตีอนาคต

คำแนะนำสุดท้ายของเกรแฮมสำหรับนักลงทุนเชิงรุก: หากคุณเต็มใจที่จะทำการบ้านด้วยตัวเอง บางครั้งคุณอาจจะเจอกองทุนขนาดเล็กที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก หรือกองทุนเฉพาะทาง (เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีปัญหาหรือหุ้นคุณค่าในต่างประเทศ) แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็ต้องใช้กฎการคัดเลือกที่เข้มงวดและอย่าไล่ตามดาราดวงใหม่ล่าสุด

บทที่ 10 นักลงทุนและที่ปรึกษาของเขา

ในบทนี้ เบนจามิน เกรแฮม จะพูดถึงคำถามที่นักลงทุนทุกคนต้องเผชิญ นั่นคือ “ฉันควรขอความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาทางการเงินหรือลุยเดี่ยวดี?” เรามาสำรวจกันดีกว่าครับว่าเกรแฮมอยากให้คุณเข้าใจอะไรบ้าง

ที่ปรึกษาทางการเงินคือใคร?

ที่ปรึกษาทางการเงินคือคนที่จะให้คำแนะนำคุณว่าจะลงทุนเงินของคุณที่ไหน, ควรรับความเสี่ยงแค่ไหน, และจะสร้างความมั่งคั่งได้อย่างไร ฟังดูมีประโยชน์ใช่ไหมครับ? แต่เกรแฮมอยากให้คุณหยุดคิดสักนิด

ทำไมต้องระมัดระวัง?

ที่ปรึกษาที่เรียกกันว่าที่ปรึกษาหลายคนอาจจะไม่ได้มองถึงผลประโยชน์สูงสุดของคุณจริง ๆ พวกเขาอาจจะ:

  • พยายามขายผลิตภัณฑ์ที่ให้ประโยชน์กับพวกเขา ไม่ใช่คุณ
  • แนะนำแผนการที่ซับซ้อนซึ่งฟังดูฉลาด แต่กลับเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียมแอบแฝง
  • ผลักดันให้คุณเข้าไปลงทุนเชิงเก็งกำไร แทนที่จะเป็นกลยุทธ์ที่มั่นคงและปลอดภัย

ดังนั้น เกรแฮมจึงบอกเราว่า เพียงเพราะใครบางคนฟังดูมั่นใจหรือทำงานให้กับบริษัทใหญ่ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะฉลาดหรือมีจรรยาบรรณอย่างแท้จริง

อะไรที่ทำให้เป็นที่ปรึกษาที่ดี?

เกรแฮมได้ให้เช็กลิสต์กับเราเพื่อใช้ในการจำแนกที่ปรึกษาทางการเงินที่น่าเชื่อถือ:

  • ความสามารถ: พวกเขาเข้าใจตลาดและการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่แค่ไล่ตามกระแส
  • ความซื่อสัตย์สุจริต: พวกเขาซื่อสัตย์และจะบอกคุณเมื่อพวกเขาไม่รู้บางสิ่ง
  • ความเป็นกลาง: พวกเขาไม่ผลักดันผลิตภัณฑ์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
  • สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ: พวกเขาปรับคำแนะนำให้เข้ากับความต้องการของคุณ ไม่ใช่ใช้สูตรสำเร็จรูปกับทุกคน

พูดสั้น ๆ ก็คือ ที่ปรึกษาที่ดีคือ ผู้ชี้แนะ ไม่ใช่ พนักงานขาย

เมื่อไหร่ที่คุณควรมีที่ปรึกษา?

เกรแฮมบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่จะขอความช่วยเหลือหาก:

  • คุณมีเวลาหรือความรู้เกี่ยวกับการลงทุนน้อย
  • คุณต้องการความเห็นที่สอง
  • คุณมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจด้วยอารมณ์ เช่น การเทขายอย่างตื่นตระหนก

แต่ถึงกระนั้น คุณก็ต้องมีส่วนร่วมอยู่เสมอ อย่ามอบอนาคตทางการเงินของคุณทั้งหมดไปให้ใครคนอื่นดูแล จงเป็นนักลงทุนที่รอบรู้

แล้วถ้าคุณจะลุยเดี่ยวล่ะ?

หากคุณเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาของตัวเอง เกรแฮมก็สนับสนุนตราบใดที่คุณเต็มใจที่จะเรียนรู้ หนังสือทั้งเล่มของเขาถูกออกแบบมาเพื่อทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่มั่นใจและชาญฉลาดมากขึ้น ดังนั้น หากคุณได้อ่านมาถึงตรงนี้ คุณก็ได้ก้าวมาในเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว

คำแนะนำที่เป็นอมตะ

เกรแฮมเตือนว่า อย่าคาดหวังให้ใครมาทำให้คุณรวย ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาหรู ๆ หรือหุ้นเด็ดตามคำบอกเล่า ไม่ได้มีทางลัดในการลงทุน มันต้องอาศัยความอดทน, การค้นคว้าข้อมูล, การคิดอย่างมีเหตุผล, และส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย

ข้อคิดสำคัญ

  • จงตั้งข้อสงสัยกับที่ปรึกษาที่ดูหวือหวา หลายคนใส่ใจค่าคอมมิชชั่นของตัวเองมากกว่าเงินของคุณ
  • ที่ปรึกษาที่ดีจะให้ความรู้และเสริมศักยภาพให้คุณ ไม่ใช่ควบคุมคุณ
  • หากคุณทำด้วยตัวเอง จงเต็มใจที่จะศึกษาและคิดในระยะยาว

ในการลงทุน ไม่มีไม้กายสิทธิ์ มีเพียงแต่หลักการที่มั่นคงเท่านั้น

ในบทนี้ เบนจามิน เกรแฮม จะมาเน้นถึงวิธีที่นักลงทุนที่ไม่ใช่มืออาชีพหรือนักลงทุนทั่วไปสามารถวิเคราะห์หุ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญจากวอลล์สตรีท เขาได้ส่งเสริมให้นักลงทุนทั่วไปใช้เทคนิคที่มีเหตุผลและสามัญสำนึกในการเลือกการลงทุนที่ดี เรามาทำความเข้าใจแนวคิดหลัก ๆ แบบง่าย ๆ กันครับ

การวิเคราะห์หลักทรัพย์คืออะไร?

การวิเคราะห์หลักทรัพย์เป็นเพียงแค่ศัพท์หรู ๆ ของการศึกษาบริษัทและหุ้นของบริษัทนั้น ๆ ก่อนที่จะลงทุน เกรแฮมบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องฉลาดเป็นกรด แค่คุณมีแนวทางที่มีเหตุผลและมีวินัยก็พอแล้ว แล้วนักลงทุนทั่วไปควรจะวิเคราะห์หุ้นอย่างไรล่ะ?

ปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ต้องวิเคราะห์

เบนจามิน เกรแฮม ได้แบ่งมันออกเป็น 3 คำถามใหญ่ ๆ ครับ:

  • หนึ่ง ธุรกิจมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งหรือไม่? บริษัททำกำไรได้สม่ำเสมอหรือเปล่า? มีหนี้สินมากเกินไปหรือไม่? มีความมั่นคงและมีแนวโน้มที่จะรอดพ้นจากช่วงเวลาที่เลวร้ายได้หรือไม่?
  • สอง ราคาหุ้นสมเหตุสมผลหรือไม่? แม้แต่บริษัทที่ดีก็อาจเป็นการลงทุนที่แย่ได้หากราคาหุ้นสูงเกินไป ดังนั้นเกรแฮมจึงบอกว่า อย่าเพิ่งตกหลุมรักแค่ตัวธุรกิจ แต่ให้ดูที่ราคาด้วย
  • สาม มีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยหรือไม่? นี่คือกฎทองคำของเกรแฮมเลยครับ หากคุณกำลังซื้อของมูลค่า 100 ดอลลาร์ในราคา 70 ดอลลาร์ เท่ากับว่าคุณมี “กันชน” เพื่อความปลอดภัยอยู่ 30 ดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยปกป้องคุณจากความผิดพลาดหรือโชคร้ายได้

อย่าพยายามเป็นผู้หยั่งรู้

เกรแฮมเตือนเราว่าอย่าไปเดาอนาคต เขาบอกว่า “ปัญหาหลักและศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนักลงทุนก็คือตัวของเขาเองนั่นแหละ” การพยายามทำนายว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นเป็นสองเท่าในปีหน้าเป็นเรื่องที่เสี่ยงและเป็นการเก็งกำไร ให้หันมาสนใจบริษัทที่มีผลงานในอดีตที่แข็งแกร่ง, มีงบดุลที่มั่นคง, และมีราคาที่สมเหตุสมผลแทน

ใช้เกณฑ์ที่เรียบง่ายและผ่านการพิสูจน์แล้ว

คุณไม่จำเป็นต้องจบปริญญาเอกด้านการเงิน เกรแฮมแนะนำให้ตรวจสอบสิ่งเหล่านี้:

  • ความมีเสถียรภาพของกำไร: บริษัทมีกำไรอย่างน้อย 8 ใน 10 ปีที่ผ่านมาหรือไม่?
  • สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: มีเงินสดหรือสินทรัพย์เพียงพอที่จะชำระหนี้หรือไม่?
  • เงินปันผล: บริษัทจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอมานานกว่า 20 ปีแล้วหรือยัง?
  • อัตราส่วน PE ที่ไม่สูงเกินไป: อย่าจ่ายแพงเกินไป มองหาบริษัทที่ซื้อขายกันในราคาไม่เกิน 15 เท่าของกำไร
  • อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีที่สมเหตุสมผล: ราคาหุ้นไม่ควรสูงเกินไปเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท

กฎเกณฑ์เหล่านี้จะช่วยกรองหุ้นที่อ่อนแอหรือเป็นหุ้นเก็งกำไรออกไปโดยอัตโนมัติ

บทบาทของสามัญสำนึก

เกรแฮมย้ำว่านักลงทุนทั่วไปไม่ควรรู้สึกด้อยค่า คุณไม่จำเป็นต้องจับจังหวะตลาดหรือค้นหาหุ้นลับ แต่ให้ถามตัวเองว่า “ฉันจะยังซื้อบริษัทนี้ไหมถ้าตลาดปิดไป 10 ปี?”, “ฉันจะสบายใจไหมที่จะเป็นเจ้าของมันในระยะยาว?”, และ “ฉันกำลังซื้อหุ้นตัวนี้เพราะมันกำลังเป็นที่นิยมหรือเพราะว่ามันแข็งแกร่งกันแน่?”

ลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจ

อย่าลงทุนในอะไรเพียงเพราะคนอื่นกำลังทำอยู่ หากคุณไม่เข้าใจว่าบริษัทนั้นทำอะไร, หาเงินมาได้อย่างไร, และทำไมถึงมีแนวโน้มที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้ ก็อย่าซื้อมัน วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ทำตามคำแนะนำนี้จากเกรแฮมอย่างเคร่งครัดและทำให้มันกลายเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ของเขา

ลองนึกภาพว่าคุณอยู่ที่ร้านขายของชำ คุณอยากจะซื้อแอปเปิ้ล แต่คุณไม่ได้มองหาแค่ลูกที่สวยงามแวววาว คุณต้องการคุณภาพที่ดีและราคาที่ยุติธรรม นั่นคือสิ่งที่เบนจามิน เกรแฮม บอกว่านักลงทุนควรจะทำกับหุ้นเช่นกัน

ในบทนี้ เขาได้ให้แนวทางที่นำไปใช้ได้จริงมาก ๆ สำหรับคนทั่วไป หรือนักลงทุนรายย่อย ในการวิเคราะห์หุ้นก่อนที่จะซื้อมัน

แนวคิดหลัก

เกรแฮมบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อมดคณิตศาสตร์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อที่จะวิเคราะห์หุ้นได้ สิ่งที่คุณต้องการคือกระบวนการที่มีเหตุผล, รอบคอบ, และสม่ำเสมอ คุณควรปฏิบัติต่อหุ้นทุกตัวเหมือนกับว่ามันเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของธุรกิจจริง ๆ และจะลงทุนก็ต่อเมื่อธุรกิจนั้นมันสมเหตุสมผลสำหรับคุณ

คุณควรมองหาอะไร?

เกรแฮมได้ระบุปัจจัยสำคัญ 5 ประการที่นักลงทุนผู้ชาญฉลาดทุกคนควรตรวจสอบ:

  • ผลประกอบการ: บริษัททำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่? ลองดูข้อมูลย้อนหลัง 5 ถึง 10 ปี ปีที่ดีเพียงปีเดียวไม่ได้ทำให้มันเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม
  • ความมีเสถียรภาพ: ผลกำไรเติบโตอย่างมั่นคง หรือขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนโยโย่?
  • ประวัติการจ่ายเงินปันผล: บริษัทจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอหรือไม่? ประวัติการจ่ายเงินปันผลที่มั่นคงแสดงให้เห็นว่าบริษัทให้รางวัลแก่ผู้ถือหุ้น
  • ความแข็งแกร่งทางการเงิน: บริษัทมีหนี้สินมากเกินไปหรือไม่? สามารถผ่านพ้นปีที่เลวร้ายไปได้หรือไม่?
  • ราคา: ราคาหุ้นถูกหรือไม่เมื่อเทียบกับกำไรของบริษัท? ซึ่งเรียกว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) โดยทั่วไปแล้ว ค่า PE ที่ต่ำกว่ามักจะหมายถึงมูลค่าที่ดีกว่า

กฎทองคำของเกรแฮม: อย่าจ่ายแพงเกินไป

แม้แต่บริษัทที่ดีที่สุดก็อาจเป็นการลงทุนที่แย่ได้หากราคาหุ้นแพงเกินไป ตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าราคานั้นสมเหตุสมผลโดยอิงจากผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท

ตัวอย่างในชีวิตจริง

ลองนึกภาพเหมือนกับการซื้อธุรกิจเล็ก ๆ บนถนนในละแวกบ้านคุณ คุณจะยอมจ่ายเงิน 10 ล้านบาทสำหรับร้านที่ทำกำไรได้ปีละ 50,000 บาทไหม? คงไม่หรอก ตรรกะเดียวกันนี้ก็ใช้กับการซื้อหุ้นเช่นกัน

ทำไมสิ่งนี้ถึงสำคัญ?

คนส่วนใหญ่มักจะทำตามหุ้นเด็ดตามคำบอกเล่าหรือซื้อสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยม เกรแฮมเตือนว่าอย่าทำแบบนั้น เขาบอกว่า “ความนิยมอาจจางหายไปได้ แต่พื้นฐานจะคงอยู่” ด้วยการใช้เช็กลิสต์ง่าย ๆ ของเขา แม้แต่นักลงทุนทั่วไปก็สามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดครั้งใหญ่และตัดสินใจได้ฉลาดขึ้น

สรุปก็คือ คุณไม่จำเป็นต้องฉลาดหลักแหลม คุณแค่ต้องมีวินัยและมีเหตุผล ศึกษาบริษัทเหมือนกับว่าคุณกำลังจะซื้อธุรกิจทั้งกิจการ ถ้ามันแข็งแกร่ง, มั่นคง, และมีราคายุติธรรมแล้วล่ะก็ มันก็คุ้มค่าที่จะลงทุน

ในบทนี้ เบนจามิน เกรแฮม จะพาเราเข้าไปสู่การเปรียบเทียบในโลกแห่งความเป็นจริงของบริษัทจริง ๆ 4 แห่งครับ ทำไมน่ะหรือ? เพราะการเรียนรู้ทฤษฎีการลงทุนอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ คุณต้องได้เห็นด้วยว่าทฤษฎีเหล่านั้นถูกนำไปใช้กับธุรกิจจริง ๆ อย่างไร เกรแฮมต้องการแสดงให้คุณเห็นถึงวิธีคิดแบบนักลงทุน ไม่ใช่แบบนักเก็งกำไร

เป้าหมายของบทนี้คืออะไร? ก็เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่า:

  • จะอ่านงบการเงินได้อย่างไร
  • ควรถามคำถามประเภทไหนเกี่ยวกับบริษัท
  • ทำไมตัวเลขผิวเผินอย่างกำไรต่อหุ้นถึงทำให้เข้าใจผิดได้

เขาได้สอนสิ่งนี้โดยการวิเคราะห์บริษัทสี่แห่ง (ซึ่งไม่ได้ระบุชื่อไว้ในที่นี้) ที่เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรม, ขนาด, และระดับผลการดำเนินงานที่แตกต่างกันไป

สิ่งที่เกรแฮมวิเคราะห์ในแต่ละบริษัท

  • หนึ่ง ประวัติผลประกอบการ: เขาจะดูว่าผลประกอบการของบริษัทมีความสม่ำเสมอหรือผันผวน บริษัทที่มีกำไรคงที่ตลอด 10 ปีมักจะปลอดภัยกว่าบริษัทที่มีผลประกอบการขึ้นลงอย่างรุนแรง บทเรียนสำคัญ: หลีกเลี่ยงบริษัทที่มีกำไรเหวี่ยงไปมาอย่างรุนแรง การคาดการณ์ได้คือมิตรแท้ของคุณ
  • สอง แนวโน้มการเติบโต: เกรแฮมจะตรวจสอบว่าบริษัทเติบโตเร็วแค่ไหนเมื่อเวลาผ่านไป แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการเติบโตนั้นยั่งยืนหรือไม่ เขาเตือนว่าเพียงเพราะบริษัทเติบโตเร็วในปีที่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเช่นนั้นในปีหน้า บทเรียนสำคัญ: อย่าไล่ตามการเติบโตในอดีต ให้มุ่งเน้นไปที่ความมั่นคงในระยะยาว
  • สาม สถานะทางการเงิน: เขาจะดูว่าบริษัทมีหนี้สินมากแค่ไหน และมีเงินสดและสินทรัพย์เพียงพอที่จะผ่านพ้นช่วงขาลงได้หรือไม่ สัญญาณอันตราย: บริษัทที่มีหนี้สินมากเกินไปก็เหมือนกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยบัตรเครดิต
  • สี่ ประวัติการจ่ายเงินปันผล: บริษัทให้รางวัลแก่ผู้ถือหุ้นด้วยเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอหรือไม่? บริษัทที่จ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องมักจะมีกระแสเงินสดที่ดีและมีวินัยในการบริหารจัดการที่แข็งแกร่ง บทเรียนสำคัญ: เงินปันผลสามารถเป็นสัญญาณที่ทรงพลังของสุขภาพทางการเงินได้
  • ห้า ราคาและการประเมินมูลค่า: เกรแฮมจะเปรียบเทียบราคาหุ้นของแต่ละบริษัทกับกำไร, มูลค่าทางบัญชี, และปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ บางครั้งบริษัทที่เติบโตช้ากว่าอาจมีมูลค่าที่ดีกว่าหุ้นเทคโนโลยีร้อนแรงก็ได้ หากมันมีราคาถูกกว่าและมั่นคงกว่า กฎทองคำ: ราคาเป็นเรื่องสำคัญ บริษัทที่ยอดเยี่ยมก็กลายเป็นการลงทุนที่แย่ได้ถ้าคุณจ่ายแพงเกินไป

ข้อคิดที่แท้จริงสำหรับคุณ: นักลงทุนผู้ชาญฉลาด

บทนี้ไม่ใช่เรื่องของการท่องจำศัพท์ทางการเงิน แต่มันคือการเรียนรู้ที่จะคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับบริษัทอย่างมีวิจารณญาณ อย่าตกหลุมพรางของกระแส อย่าเชื่อถือเพียงตัวชี้วัดทางการเงินแค่ตัวเดียว แต่ให้ถามคำถามที่ลึกซึ้งกว่านั้น:

  • ธุรกิจแข็งแกร่งหรือไม่?
  • ราคายุติธรรมหรือเปล่า?
  • มันสามารถผ่านพ้นปีที่เลวร้ายไปได้หรือไม่?

ลองคิดตามเล่น ๆ ดูนะครับ: ลองจินตนาการว่าคุณไม่ได้กำลังซื้อแค่หุ้น แต่กำลังซื้อธุรกิจทั้งกิจการเลย คุณจะสบายใจไหมที่จะเป็นเจ้าของมันไปอีก 10 ปีข้างหน้า ทั้งในยามดีและยามร้าย?

ลองนึกภาพว่าคุณเป็นคนที่อยากจะลงทุนเงินของคุณ แต่ไม่ต้องการความปวดหัวจากการติดตามทุกการขึ้นลงของตลาด คุณเป็นคนรอบคอบ, ใจเย็น, และมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัย นั่นคือคนแบบที่เบนจามิน

เกรแฮมเรียกว่า นักลงทุนเชิงรับ ในบทที่ 14 ของหนังสือ “นักลงทุนผู้ชาญฉลาด” เกรแฮมได้ให้คำแนะนำทีละขั้นตอนเกี่ยวกับวิธีที่นักลงทุนประเภทนี้ควรจะเลือกหุ้น เรามาดูรายละเอียดแบบง่ายที่สุดกันเลยครับ

เป้าหมายของนักลงทุนเชิงรับ: เพื่อลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดและเพิ่มความสบายใจให้มากที่สุด แม้ว่านั่นจะหมายถึงการไม่ไล่ตามผลตอบแทนที่สูงสุดก็ตาม คุณไม่ได้พยายามที่จะเอาชนะตลาด แต่คุณกำลังพยายามปกป้องเงินทุนของคุณและทำให้มันเติบโตอย่างมั่นคง

กฎทองคำ 7 ข้อของเกรแฮมสำหรับการเลือกหุ้น

นี่เป็นเหมือนเช็กลิสต์เลยครับ ทำตามนี้แล้วคุณจะหลีกเลี่ยงกับดักส่วนใหญ่ได้

  • หนึ่ง ขนาดของบริษัทที่เพียงพอ: อย่าไปยุ่งกับสตาร์ทอัพขนาดจิ๋วหรือบริษัทขนาดเล็กมาก ๆ ให้มองหาบริษัทขนาดใหญ่ที่มั่นคงและเป็นที่ยอมรับ อย่างน้อยควรมีายอดขายต่อปี 100 ล้านดอลลาร์ (ในยุค 1970 ซึ่งต้องปรับตามเงินเฟ้อในปัจจุบัน)
  • สอง สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: สำหรับบริษัทอุตสาหกรรม สินทรัพย์หมุนเวียนควรมีค่าอย่างน้อยสองเท่าของหนี้สินหมุนเวียน (Current Ratio ≥≥ 2) สำหรับสาธารณูปโภค หนี้สินไม่ควรเกินสองเท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น แปลง่าย ๆ ก็คือ: บริษัทควรจะสามารถชำระบิลระยะสั้นได้อย่างสบาย ๆ และไม่จมอยู่กับหนี้สิน
  • สาม ความมีเสถียรภาพของกำไร: บริษัทควรมีกำไรเป็นบวกในแต่ละปีตลอด 10 ปีที่ผ่านมา สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามันสามารถผ่านพ้นวัฏจักรเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไปได้
  • สี่ ประวัติการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ: ควรมีการจ่ายเงินปันผลมาแล้วอย่างน้อย 20 ปี โดยไม่ขาดตอน แม้ว่าคุณจะไม่สนใจเงินปันผล แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าบริษัทให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นและมีสุขภาพทางการเงินที่ดี
  • ห้า การเติบโตของกำไร: กำไรต่อหุ้นควรเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 33% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่การเติบโตที่รวดเร็ว แต่ช้า ๆ แต่มั่นคงคือผู้ชนะ
  • หก อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่ไม่สูงเกินไป: อัตราส่วน P/E (ราคาหารด้วยกำไรต่อหุ้น) ไม่ควรเกิน 15 หลีกเลี่ยงการจ่ายเงินซื้อหุ้นที่แพงเกินไป
  • เจ็ด อัตราส่วนราคาต่อสินทรัพย์ที่ไม่สูงเกินไป: ราคาไม่ควรเกิน 1.5 เท่าของมูลค่าทางบัญชี (สินทรัพย์ลบด้วยหนี้สิน) แต่ก็มีความยืดหยุ่นอยู่บ้าง หากค่า PE ต่ำกว่า 15 อัตราส่วนนี้อาจจะสูงขึ้นเล็กน้อยได้ 
    สูตรคือ: (PE ratio)×(Price to Book ratio) ≤ 22.5(PE ratio)×(Price to Book ratio) ≤ 22.5

ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร? กฎเกณฑ์เหล่านี้ช่วยให้คุณกรองบริษัทที่ถูกปั่นกระแสเกินจริง, บริษัทที่มีพื้นฐานไม่ดี, และบริษัทที่อาจล้มครืนลงในช่วงขาลงออกไปได้ เกรแฮมเชื่อว่าการปฏิบัติตามกฎเหล่านี้สามารถนำไปสู่ผลตอบแทนที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยโดยมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนเชิงเก็งกำไรมาก

เคล็ดลับสำหรับโลกแห่งความเป็นจริง: คุณไม่จำเป็นต้องหาบริษัทที่สมบูรณ์แบบที่เข้าเกณฑ์ทั้งเจ็ดข้อได้ 100% แม้แต่การหาบริษัทที่เข้าเกณฑ์ส่วนใหญ่เหล่านี้ก็สามารถลดความเสี่ยงของคุณลงได้อย่างมากแล้วครับ

นักลงทุนเชิงรุกคือใครกันนะ? ก่อนที่เราจะลงลึกไปกว่านี้ ต้องมาย้ำกันอีกครั้งว่านักลงทุนเชิงรุกคือคนประเภทที่เต็มใจจะทุ่มเทเวลา, ความพยายาม, และการค้นคว้าข้อมูลให้มากกว่านักลงทุนเชิงรับ พวกเขาต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ต้องไม่ใช่ด้วยวิธีการแบบนักพนัน แล้วคุณจะหาหุ้นดี ๆ โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงที่มากเกินไปได้อย่างไรล่ะ? เกรแฮมได้ให้ตัวกรองที่ชัดเจนและอิงตามกฎเกณฑ์เอาไว้ ไม่ใช่การเดาสุ่มหรือการทำตามกระแส

กฎการเลือกหุ้นของเกรแฮม

กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นเหมือนเช็กลิสต์เลยครับ เกรแฮมแนะนำให้นักลงทุนซื้อเฉพาะหุ้นที่เข้าเกณฑ์หลายข้อหรือทั้งหมดดังต่อไปนี้:

  • กฎข้อที่หนึ่ง ขนาดของกิจการที่เพียงพอ: ให้เลือกบริษัทขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ บริษัทขนาดเล็กอาจจะดูน่าดึงดูดใจด้วยการเติบโตที่รวดเร็ว แต่พวกมันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่าและมีความมั่นคงน้อยกว่า บริษัทที่ใหญ่กว่ามักจะรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจได้ดีกว่า
  • กฎข้อที่สอง สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: สินทรัพย์หมุนเวียนของบริษัทควรมีค่าอย่างน้อยสองเท่าของหนี้สินหมุนเวียน นอกจากนี้ หนี้สินระยะยาวควรน้อยกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิ ทำไมน่ะหรือ? เพราะสุขภาพทางการเงินที่ดีหมายถึงโอกาสที่จะล้มละลายก็น้อยลง
  • กฎข้อที่สาม ประวัติกำไรที่มั่นคง: บริษัทควรมีกำไรเป็นบวกมาแล้วอย่างน้อยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีผลขาดทุนบ่อยครั้งหรือกำไรที่ผันผวน หากบริษัทไม่สามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ มันก็ไม่น่าเชื่อถือ
  • กฎข้อที่สี่ ประวัติการจ่ายเงินปันผล: บริษัทต้องมีการจ่ายเงินปันผลมาแล้วอย่างน้อยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เกรแฮมไม่ได้มองแค่กำไร แต่เขาต้องการบริษัทที่คืนมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น
  • กฎข้อที่ห้า การเติบโตของกำไร: มองหาการเพิ่มขึ้นของกำไรต่อหุ้นอย่างน้อย 1 ใน 3 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทกำลังเติบโตในอัตราที่ดีและปานกลาง ไม่เร็วเกินไปจนอาจล้ม และไม่ช้าเกินไปจนหยุดนิ่ง
  • กฎข้อที่หก อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่ไม่สูงเกินไป: เกรแฮมแนะนำว่าราคาปัจจุบันไม่ควรเกิน 15 เท่าของกำไรเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นการรับประกันว่าคุณจะไม่จ่ายเงินแพงเกินไปสำหรับกระแสหรือผลประกอบการที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
  • กฎข้อที่เจ็ด อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีที่ไม่สูงเกินไป: ราคาหุ้นไม่ควรเกิน 1.5 เท่าของมูลค่าทางบัญชี (สินทรัพย์ลบด้วยหนี้สิน) หากค่า PE ต่ำ เกรแฮมก็อนุญาตให้มีความยืดหยุ่นในข้อนี้ได้บ้าง พูดง่าย ๆ ก็คือ อย่าจ่ายเงิน 100 บาทเพื่อซื้อของที่มีมูลค่าบนกระดาษแค่ 60 บาท

การนำกฎเกณฑ์มาผสมผสานกัน

เกรแฮมบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำตามทุกกฎ แต่ยิ่งหุ้นตัวหนึ่งเข้าเกณฑ์มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งปลอดภัยและมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น วิธีนี้จะช่วยคัดกรองบริษัทเก็งกำไร, บริษัทที่ราคาสูงเกินไป, หรือบริษัทที่อ่อนแอออกไป และเน้นให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนในหุ้นราคาต่ำที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง

ลองคิดตามเล่น ๆ ดูนะครับ

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเดินอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต โซนหนึ่งมีสินค้าแบรนด์เนมที่แพ็กมาอย่างดี ตั้งราคาไว้อย่างยุติธรรม และมีรีวิวที่แข็งแกร่ง ส่วนอีกโซนหนึ่งมีสินค้าที่ดูหวือหวาพร้อมป้ายราคาที่สะเปะสะปะ บางชิ้นก็ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ บางชิ้นก็แพงสุด ๆ แต่กลับไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าข้างในคืออะไร นักช้อปที่ฉลาดจะเลือกซื้อของจากโซนไหนล่ะครับ? ถูกต้องเลยครับ กฎของเกรแฮมช่วยให้คุณเลือกซื้อของในตลาดหุ้นได้อย่างชาญฉลาด

เคล็ดลับเพิ่มเติมจากเกรแฮม

  • จงอดทน: อย่าเพิ่งกระโดดเข้าใส่หุ้นเพียงเพราะว่ามันราคาถูก ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันเข้าเกณฑ์หลายข้อ
  • หลีกเลี่ยงการเติบโตไม่ว่าราคาจะเท่าไหร่ก็ตาม: อย่าจ่ายเงินในราคาพรีเมียมให้กับบริษัทเพียงเพราะว่าพวกมันกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
  • ยึดมั่นในเกณฑ์ของคุณ: สมองของคุณอาจจะถูกล่อลวงด้วยกระแส แต่เช็กลิสต์ของคุณจะช่วยรักษาวินัยให้คุณเอง

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังทานบุฟเฟ่ต์ แล้วทางร้านเสนอมอบจานที่ไม่ได้ให้คุณทานแค่สิ่งที่อยู่บนจานแล้วเท่านั้น แต่ยังให้สิทธิ์คุณกลับมาทานอาหารจานที่เด็ดกว่าได้ในภายหลังด้วยราคาของวันนี้ นั่นแหละครับคือสิ่งที่ตราสารแปลงสภาพ (Convertible Securities) และวอร์แรนต์ (Warrants) เป็นในโลกของการลงทุน

ซึ่งในบทนี้ เบนจามิน เกรแฮม ได้เตือนให้นักลงทุนผู้ชาญฉลาดต้องเดินอย่างระมัดระวังเมื่อต้องเจอกับเครื่องมือทางการเงินที่ฟังดูหรูหราเหล่านี้

ตราสารแปลงสภาพคืออะไร?

พันธบัตรแปลงสภาพหรือหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพเป็นเหมือน “กิ้งก่าคาเมเลี่ยน” ทางการเงินครับ พวกมันเริ่มต้นจากการเป็นตราสารหนี้ที่ให้รายได้คงที่เหมือนพันธบัตร แต่มีทางเลือกให้สามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญของบริษัทเดียวกันได้ ตัวอย่างเช่น บริษัทอาจออกพันธบัตรมูลค่า 1,000 ดอลลาร์ที่สามารถแปลงเป็นหุ้นของบริษัทได้ 20 หุ้นในภายหลัง

  • ข้อดี: ให้รายได้คงที่ (ดอกเบี้ย/เงินปันผล) จนกว่าจะทำการแปลงสภาพ และมีโอกาสในการแปลงสภาพและทำกำไรหากราคาหุ้นสูงขึ้น
  • ข้อเสีย: อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรปกติ, หากผลประกอบการของบริษัทไม่ดี คุณก็จะติดอยู่กับพันธบัตรและหุ้นอาจจะไม่มีค่าเลย, และบริษัทมักจะตั้งราคาที่ดึงดูดใจสำหรับตัวเอง ไม่ใช่สำหรับคุณ

วอร์แรนต์คืออะไร?

วอร์แรนต์ให้สิทธิ์คุณในการซื้อหุ้นในราคาที่กำหนดในอนาคต แต่ไม่ได้บังคับ ลองนึกภาพว่ามันเหมือนคูปองที่ให้คุณซื้อเสื้อในราคา 500 บาทได้ แม้ว่าราคาตลาดของมันจะกลายเป็น 1,000 บาทในภายหลังก็ตาม

ทำไมบริษัทถึงออกวอร์แรนต์? ก็เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับข้อเสนอสำหรับนักลงทุน และเพื่อระดมทุนโดยไม่ต้องทำให้สัดส่วนความเป็นเจ้าของลดลงในทันที

คำเตือนของเกรแฮม: โดยธรรมชาติแล้วมันเป็นการเก็งกำไร วอร์แรนต์ส่วนใหญ่ก็เหมือนกับสลากลอตเตอรี่ ที่แทบจะไม่เคยได้ผลในระยะยาวสำหรับนักลงทุนรายย่อย

สารหลักจากเกรแฮม

เครื่องมือทางการเงินเหล่านี้มักจะดูน่าดึงดูดใจ แต่โครงสร้างของมันมักจะให้ประโยชน์กับบริษัทหรือคนวงในมากกว่าคุณ เขาบอกว่ามีเพียงมืออาชีพหรือนักลงทุนขั้นสูงที่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างลึกซึ้งเท่านั้นที่ควรจะแตะต้องตราสารแปลงสภาพหรือวอร์แรนต์ สำหรับนักลงทุนทั่วไปแล้ว สิ่งเหล่านี้คือเครื่องมือที่มีความเสี่ยงสูงที่ปลอมตัวมาเป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ

ตัวอย่างสำหรับคุณ: สมมติว่าคุณซื้อพันธบัตรแปลงสภาพของบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งในปี 2020 พันธบัตรให้ดอกเบี้ย 3% ต่อปีและสามารถแปลงเป็นหุ้นได้ 10 หุ้นหากราคาหุ้นเกิน 200 ดอลลาร์ พอถึงปี 2025 ราคาหุ้นพุ่งไปที่ 500 ดอลลาร์ คุณทำการแปลงสภาพ และตอนนี้ผลตอบแทนรวมของคุณก็มหาศาล ฟังดูดีใช่ไหมครับ? ใช่ครับ แต่มันจะเป็นแบบนั้นก็ต่อเมื่อบริษัทอยู่รอดเท่านั้น ถ้าบริษัทเจ๊งไปก่อน คุณก็จะไม่มีทั้งพันธบัตรที่ดีและหุ้นที่มีค่า

คำแนะนำสุดท้ายของเกรแฮม: อย่าไล่ตามผลตอบแทนสูง ๆ ที่ตราสารแปลงสภาพหรือวอร์แรนต์สัญญาไว้ เว้นแต่ว่าคุณจะเข้าใจความเสี่ยงอย่างถ่องแท้ ส่วนใหญ่มันเป็นเพียงแค่กลอุบายทางการตลาดที่นำไปสู่การจ่ายเงินแพงเกินไปสำหรับกระแส นักลงทุนเชิงรับควรหลีกเลี่ยงมันโดยสิ้นเชิง ส่วนนักลงทุนเชิงรุกควรพิจารณาอย่างคัดสรรและต้องผ่านการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งเท่านั้น

ในบทนี้ เบนจามิน เกรแฮม ได้ทำสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ครับ แทนที่จะพูดถึงแต่ทฤษฎี เขาได้พาเราไปดูสี่กรณีศึกษาจากชีวิตจริง เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องราวของหุ้น แต่มันคือบทเรียนว่านักลงทุนชนะหรือแพ้ได้อย่างไรโดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและกรอบความคิดของพวกเขา เรามาดูรายละเอียดแบบง่าย ๆ กันครับ

ทำไมกรณีศึกษาถึงสำคัญ?

หนังสือหลายเล่มให้คำแนะนำที่เป็นนามธรรม แต่เกรแฮมบอกว่า “ให้ผมแสดงตัวอย่างจริง ๆ ให้คุณดูดีกว่าว่าคนเราประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้อย่างไรและทำไม” เรื่องราวเหล่านี้เหมือนกับการมองเข้าไปในภาพเอ็กซ์เรย์ของการตัดสินใจ เพื่อให้เข้าใจว่าอะไรได้ผล, อะไรไม่ได้ผล, และเราสามารถเรียนรู้อะไรจากมันได้บ้าง

  • กรณีศึกษาที่หนึ่ง: พันธบัตรแปลงสภาพที่ไม่น่าสนใจ: บริษัทแห่งหนึ่งออกพันธบัตรแปลงสภาพ ซึ่งเป็นพันธบัตรที่สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นได้ มองเผิน ๆ แล้วมันดูเหมือนเป็นข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมมาก ได้ทั้งรายได้คงที่ในตอนนี้และมีโอกาสแปลงเป็นหุ้นที่ราคาสูงขึ้นในภายหลัง แต่เกรแฮมได้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนไม่ได้วิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริงของบริษัทอย่างถูกต้อง บทเรียน: แค่เพราะอะไรบางอย่างฟังดูเหมือนเป็นข้อเสนอลูกผสม (พันธบัตรบวกกับโอกาสทำกำไรจากหุ้น) ไม่ได้หมายความว่ามันจะปลอดภัย วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทก่อนที่จะเชื่อในศักยภาพของมัน
  • กรณีศึกษาที่สอง: บริษัทอิเล็กทรอนิกส์สุดร้อนแรง: ในกรณีนี้ นักลงทุนต่างไล่ตามบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นพุ่งสูงเสียดฟ้า ไม่ใช่เพราะกำไรที่แท้จริง แต่เพราะคนคิดว่ามันคืออนาคต สุดท้ายมันก็พังทลายลงมาอย่างหนัก บทเรียน: กระแสไม่ได้เท่ากับมูลค่า นักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะไม่ตามความตื่นเต้น แต่พวกเขาจะตามหลักฐานเช่น กำไร, เงินปันผล, และการเติบโตในระยะยาว ไม่ใช่พาดหัวข่าวของวันนี้
  • กรณีศึกษาที่สาม: กับดักสินทรัพย์ที่ซ่อนอยู่: นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทที่มีสินทรัพย์ที่มีค่า เช่น ที่ดิน, อสังหาริมทรัพย์, ฯลฯ นักลงทุนบางคนคิดว่า “เฮ้ หุ้นตัวนี้ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นนะเพราะที่ดินทั้งหมดนั่น” พวกเขาคิดถูกครับ แต่ที่ดินนั้นไม่เคยถูกขาย มูลค่านั้นไม่เคยถูกปลดล็อกออกมา บทเรียน: การลงทุนแบบเน้นคุณค่าไม่ได้เกี่ยวกับแค่สิ่งที่บริษัทเป็นเจ้าของ แต่มันเกี่ยวกับว่ามูลค่านั้นจะถูกทำให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไรและเมื่อไหร่ ความมั่งคั่งบนกระดาษนั้นไม่เพียงพอ มองหาตัวเร่งปฏิกิริยาหรือเส้นทางที่เป็นไปได้จริงที่มูลค่านั้นจะปรากฏออกมา
  • กรณีศึกษาที่สี่: หุ้นโปรดที่ราคาสูงเกินไป: บริษัทแห่งหนึ่งมีอดีตที่ยอดเยี่ยมและผู้คนก็รักมันมาก ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงซื้อหุ้นของบริษัทในราคาที่สูงลิ่ว แม้ว่าธุรกิจจะเปลี่ยนไปแล้วและทำได้ไม่ดีเหมือนเดิม ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ ราคาหุ้นก็ดิ่งลงเหว บทเรียน: ความรุ่งโรจน์ในอดีตไม่ได้การันตีกำไรในอนาคต แม้แต่บริษัทที่ยอดเยี่ยมก็อาจเป็นการลงทุนที่แย่ได้ถ้าคุณจ่ายแพงเกินไป

ในบทสุดท้ายของหนังสือ “นักลงทุนผู้ชาญฉลาด” นี้ เบนจามิน เกรแฮม ได้มอบข้อความปิดท้ายที่ทรงพลัง เขาย้ำเตือนเราว่าการเป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาดไม่ใช่เรื่องของการมี IQ สูงหรือการจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่มันคือเรื่องของอุปนิสัย, วินัย, และการควบคุมอารมณ์ต่างหาก เรามาดูรายละเอียดแบบง่าย ๆ กันครับ

แนวคิดหลัก: นักลงทุนผู้ชาญฉลาดคือใคร?

นักลงทุนผู้ชาญฉลาดคือคนที่อดทน, มีวินัย, และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ เขาหรือเธอจะไม่ปล่อยให้อารมณ์ที่แปรปรวนของตลาดมาบงการการตัดสินใจของตัวเอง เกรแฮมให้เหตุผลว่าตลาดจะผันผวนอยู่เสมอ และบางครั้งก็รุนแรงมาก แต่ความสำเร็จของคุณจะถูกตัดสินจากวิธีที่คุณตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นั่นเอง คุณไม่จำเป็นต้องทำนายอนาคตของตลาด แต่คุณต้องเตรียมพร้อมสำหรับมัน

เสาหลักสี่ประการของนักลงทุนผู้ชาญฉลาด

  • หนึ่ง รู้จักตัวเอง: คุณเป็นนักลงทุนเชิงรับหรือเชิงรุก? กลยุทธ์ของคุณต้องสอดคล้องกับบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของคุณ
  • สอง มุ่งเน้นไปที่มูลค่าระยะยาว: อย่าไล่ตามกระแส ให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่จะเติบโตไปตามกาลเวลา ไม่ใช่ตามกระแสความนิยม
  • สาม ไม่สนใจฝูงชน: ตลาดมักจะไม่มีเหตุผล อย่าซื้อเพียงเพราะคนอื่นกำลังซื้อ
  • สี่ ความปลอดภัยต้องมาก่อน: ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยคือเครื่องป้องกันที่ดีที่สุดของคุณ จงคิดไว้เสมอว่าคุณอาจจะผิดพลาดและเตรียมพร้อมรับมือกับมัน

ข้อคิดสุดท้ายของเกรแฮม

“ปัญหาหลักและศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนักลงทุนก็คือตัวของเขาเองนั่นแหละ” เกรแฮมปิดท้ายด้วยการย้ำเตือนเราว่าตลาดนั้นคาดเดาไม่ได้ แต่พฤติกรรมของมนุษย์นั้นสม่ำเสมอ ความโลภ, ความกลัว, ความไม่อดทน สิ่งเหล่านี้คืออุปสรรคที่แท้จริงของคุณ แต่ถ้าคุณยึดมั่นในหลักการของคุณ, ยังคงมีเหตุผล, และยังคงถ่อมตนอยู่เสมอ คุณจะไม่เพียงแค่รอดชีวิตในโลกของการลงทุน แต่คุณจะเติบโตในโลกนั้นได้อย่างงดงาม

ลองนึกภาพว่าคุณเป็นเจ้าของร่วมของบริษัทแห่งหนึ่ง คุณได้ซื้อหุ้นของบริษัทและตอนนี้คุณคาดหวังสองสิ่ง: เงินของคุณควรจะเติบโต และคนที่บริหารบริษัท หรือก็คือผู้บริหาร ควรจะทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของคุณ แต่สิ่งนั้นเกิดขึ้นเสมอไปหรือเปล่า? ก็ไม่เชิงครับ

บทนี้เปรียบเสมือนเสียงปลุกให้ตื่นเลยทีเดียว เบนจามิน เกรแฮม ได้แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารบริษัทบางครั้งก็ลืมไปว่าผู้ถือหุ้นคือเจ้าของที่แท้จริง

แนวคิดสำคัญ

เกรแฮมกล่าวว่าบริษัทไม่ใช่สนามเด็กเล่นของ CEO แต่มันเป็นของผู้ถือหุ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้บริหารกลับมีอำนาจมากเกินไปและนักลงทุนก็มักจะนิ่งเงียบแม้ว่าพวกเขาจะถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมก็ตาม

สามประเด็นหลักที่ต้องให้ความสำคัญ

  • หนึ่ง เงินปันผล: รางวัลของนักลงทุน: เงินปันผลคือวิธีที่บริษัทจะพูดว่า “ขอบคุณที่ไว้วางใจเรา” บางบริษัทไม่จ่ายเงินปันผลแม้ว่าจะทำกำไรได้ดีก็ตาม เกรแฮมบอกว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เว้นแต่ว่าบริษัทจะนำเงินนั้นไปลงทุนต่ออย่างชาญฉลาด หากผู้บริหารกักตุนเงินสดและไม่ได้ทำอะไรที่มีความหมายกับมันเลย นั่นคือสัญญาณอันตราย นักลงทุนผู้ชาญฉลาดไม่ได้มองแค่กำไร แต่เขาจะถามว่า “ส่วนแบ่งของฉันอยู่ไหน?”
  • สอง ธรรมาภิบาลบริษัท: ใครกันแน่ที่ควบคุม? ตามทฤษฎีแล้ว ผู้ถือหุ้นจะเป็นผู้เลือกคณะกรรมการ และคณะกรรมการจะเป็นผู้ควบคุมผู้บริหาร แต่ในความเป็นจริง ผู้บริหารมักจะเลือกกรรมการที่เป็นมิตรกับตัวเองและไม่เคยตั้งคำถามกับพวกเขา ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ การตัดสินใจที่ย่ำแย่, การขยายกิจการที่เสี่ยง, หรือความล้มเหลวที่ถูกซ่อนไว้ เกรแฮมเตือนว่า “ถ้าผู้บริหารทำตัวเหมือนกษัตริย์และผู้ถือหุ้นเป็นเหมือนไพร่ ก็ถึงเวลาที่ต้องตื่นได้แล้ว”
  • สาม ปัญหานักลงทุนเงียบ: นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะเป็นฝ่ายรับ พวกเขาไม่เข้าร่วมประชุม, ไม่ลงคะแนนเสียง, และไม่ท้าทายพฤติกรรมที่ไม่ดี เกรแฮมเชื่อว่าผู้ถือหุ้นควรทำตัวเหมือนเจ้าของที่มีความรับผิดชอบ ควรจะแสดงความคิดเห็นเมื่อจำเป็น มิฉะนั้นผู้บริหารก็จะลอยนวลไปกับผลงานที่ย่ำแย่

ตัวอย่างจากชีวิตจริง

เกรแฮมได้พูดถึงว่าบริษัทมักจะตัดเงินปันผล, เข้าซื้อกิจการแบบโง่ ๆ, หรือให้รางวัลผู้บริหารด้วยเงินเดือนมหาศาล และนักลงทุนก็ยังคงเงียบอยู่ ลองนึกภาพตามนะครับ: บริษัทแห่งหนึ่งทำกำไรได้ 1 พันล้านดอลลาร์ แล้วให้โบนัส 900 ล้านดอลลาร์กับผู้จัดการระดับสูง 10 คน แต่ไม่ให้อะไรกับผู้ถือหุ้นเลย ฟังดูบ้าใช่ไหมครับ? แต่มันเกิดขึ้นจริง และเกรแฮมก็บอกว่า “อย่าเมินเฉย จงส่งเสียงของคุณออกมา”

บทสรุปสำหรับนักลงทุน

  • ตรวจสอบประวัติการจ่ายเงินปันผล: บริษัทให้ความเป็นธรรมกับผู้ถือหุ้นหรือไม่?
  • จับตาดูพฤติกรรมของผู้บริหาร: พวกเขาทำงานเพื่อตัวเองหรือเพื่อคุณ?
  • จงเป็นผู้ถือหุ้นที่กระตือรือร้น: ความเงียบของคุณคืออำนาจของพวกเขา

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงบทสุดท้ายของหนังสือ “นักลงทุนผู้ชาญฉลาด” ครับ ซึ่งเบนจามิน เกรแฮม ได้ทิ้งท้ายไว้ด้วยหลักการที่ทรงพลังและเป็นอมตะที่สุดในการลงทุน นั่นก็คือ ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) นี่ไม่ใช่แค่กฎ แต่มันคือปรัชญาที่แบ่งแยกนักลงทุนที่ชาญฉลาดออกจากนักลงทุนที่บุ่มบ่าม

ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยคืออะไร?

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังสร้างสะพานที่ควรจะรับน้ำหนักรถบรรทุกได้ถึง 10 ตัน แต่คุณกลับออกแบบให้มันรับได้ถึง 15 ตัน ทำไมน่ะหรือ? ก็เพื่อในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดหรือมีน้ำหนักบรรทุกที่ไม่คาดคิดขึ้นมาน่ะสิครับ ส่วนที่เผื่อไว้นั่นแหละคือ “ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย” ในการลงทุนก็เป็นแนวคิดเดียวกันเลยครับ คุณซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน เพื่อให้ตัวเองมี “กันชน” เผื่อไว้ในกรณีที่สิ่งต่าง ๆ ผิดพลาดไป

นิยามของเกรแฮม

เกรแฮมได้นิยาม “การลงทุน” ว่าคือ “การดำเนินการซึ่งให้คำมั่นสัญญาถึงความปลอดภัยของเงินต้นและผลตอบแทนที่เพียงพอ” และส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยก็คือการป้องกันที่ติดตั้งมาในตัวเพื่อรับมือกับพฤติกรรมของตลาดที่คาดเดาไม่ได้, การวิเคราะห์ที่ผิดพลาด, หรือโชคร้ายนั่นเอง แทนที่จะพยายามทำนายว่าตลาดจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้ นักลงทุนที่ฉลาดจะมุ่งเน้นไปที่การซื้อสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น หรือก็คือสินทรัพย์ที่ขายในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน

สิ่งนี้ช่วยได้อย่างไร?

  • ป้องกันความผิดพลาด: หากการประเมินมูลค่าของคุณผิดพลาด ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณขาดทุนมาก
  • ป้องกันความเสี่ยงขาลง: แม้ว่าตลาดหุ้นจะพังทลาย คุณก็มีแนวโน้มที่จะขาดทุนน้อยลง หรืออาจจะยังคงทำกำไรได้ด้วยซ้ำ
  • หลีกเลี่ยงการเก็งกำไร: มันจะสร้างวินัยให้คุณลงทุนโดยอิงจากตรรกะ ไม่ใช่กระแสหรืออารมณ์

ตัวอย่างในชีวิตจริง

สมมติว่าคุณวิเคราะห์บริษัทแห่งหนึ่งและเชื่อว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันคือ 100 ดอลลาร์ต่อหุ้น หากคุณจะซื้อก็ต่อเมื่อราคาอยู่ที่ 70 ดอลลาร์เท่านั้น เท่ากับว่าคุณกำลังสร้างส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยไว้ 30% หากคุณคิดผิดและจริง ๆ แล้วมันมีมูลค่าเพียง 85 ดอลลาร์ คุณก็ยังคงทำข้อตกลงที่ดีอยู่ดี

คำคมทองคำของเกรแฮม

“เมื่อต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน นักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะเรียกร้องส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย” เขาเน้นย้ำว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนเสมอ ไม่ว่าการวิเคราะห์ของคุณจะดีแค่ไหนก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่หลักการนี้เป็นรากฐานที่สำคัญของการลงทุน

การปรับเปลี่ยนกรอบความคิด

บทนี้เปรียบเสมือนเสียงปลุกให้ตื่นเลยครับ มันบอกเราว่าอย่าไปตั้งเป้าที่ผลตอบแทนสูงสุด แต่ให้ตั้งเป้าที่ผลตอบแทนที่ปลอดภัยและน่าพอใจ ซึ่งเป็นประเภทของผลตอบแทนที่จะสร้างความมั่งคั่งที่แท้จริงขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไป นักลงทุนมักจะโลภ แต่เกรแฮมสอนเราว่า “อย่าไล่ตามหุ้นร้อนแรง อย่าลงทุนในความฝัน แต่จงมองหาความเป็นจริงและซื้อมันก็ต่อเมื่อมันลดราคาเท่านั้น”

ข้อคิดสุดท้าย

หากคุณจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างจากหนังสือเล่มนี้ไป ขอให้จำสิ่งนี้ไว้ครับ: ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยคืออาวุธลับของนักลงทุนผู้ชาญฉลาด มันคือความแตกต่างระหว่างการพนันและการลงทุน จงสร้างมันขึ้นมาในทุกการตัดสินใจของคุณ ไม่ว่าคุณจะกำลังซื้อบ้าน, ธุรกิจ, หรือหุ้น ในระยะยาวแล้ว หลักการนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้คุณมั่งคั่งขึ้นมาได้อย่างเงียบ ๆ, มั่นคง, และปลอดภัย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *